เวลาเท่านั้นที่ เกรอัม พอตเตอร์ ต้องการ หลังเกมเอฟเอ คัพรอบ 3 ที่เอติฮัต สเตเดี้ยมสิ้นสุดลง สถิติอันน่าอับอายของเชลซี ช่วยขยี้แผลซ้ำให้เจ็บปวดหนักกว่าเดิมเข้าไปอีก
7 นัดล่าสุดทุกรายการ ชนะเพียงแค่ 1 นัดเท่านั้นเอง แต่แพ้ไปถึง 5 และเสมออีก 1 เป็นตัวเลขที่ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะเกิดขึ้นกับพวกเขาในยุคนี้
ลำพังพ่ายแมนฯซิตี้มันไม่เท่าไรหรอก ไม่ว่าอย่างไรนี่คือทีมที่แข็งแกร่งเสมอ แต่ซิตี้ในวันที่ส่งสำรองลงหลายคนไม่มีทั้ง เออร์ลิ่ง เบราท์ ฮาแลนด์ และ เควิน เดอ บรอยน์ ยังไล่ถล่มสบาย 4-0 มันไม่ใช่เรื่องปกติเลย
ส่วนหนึ่งมาจากปัญหาอาการบาดเจ็บ แกนหลักมากมายเรียงคิวกันขึ้นเตียงพยาบาลโดยไม่ได้นัดหมาย ส่งผลให้ แกรห์ม พ็อตเตอร์ ต้องโดนหายนะพุ่งเข้าชนอย่างจัง
ราฮีม สเตอร์ลิ่ง , คริสเตียน พูลิซิช , รีซ เจมส์ , เอดูอาร์ เมนดี้ , เอ็นโกโล่ ก็องเต้ และ เบน ชิลเวลล์ คือกลุ่มกำลังสำคัญ ที่ต้องนั่งดูเพื่อนเล่น
นี่แค่รายชื่อบางส่วนเท่านั้นเอง รวมแล้วเกือบ 10 รายที่ยังรักษาตัว ใครเป็นผู้จัดการทีมเชลซีชั่วโมงนี้ ต้องลำบากด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีข้อยกเว้น
อย่างไรก็ตามเกมพ่ายซิตี้ล่าสุด หากเทียบกับเมื่อ 4 วันก่อนในศึกพรีเมียร์ลีกที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ มันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แม้จะแพ้เหมือนกันก็ตาม
เกมนั้นเล่นกันแบบกระตือรือร้น มีรูปแบบอย่างชัดเจน เปิดหน้าแลกหมัดอย่างดุดัน ทว่าจังหวะสุดท้ายไม่เฉียบขาดคมพอ เลยไม่อาจเจาะเข้าไปได้
พอเปลี่ยนวิกมาเตะกันที่เอติฮัต สเตเดี้ยมบ้าง หนังมันคนละม้วนเลย แข้งเชลซีเล่นกันเหมือนไม่ได้ซ้อม ครองบอลไม่เท่าไร ก็เสียให้แมนฯซิตี้แล้ว เหมือนต่างคนลงมาเล่น ไม่ได้มีความเข้าใจกันเลย
นักเตะเดี้ยงเยอะก็ส่วนหนึ่ง พวกสำรองหรือดาวรุ่งที่ได้รับโอกาส ก็ควรแสดงคาแรคเตอร์ที่ดีกว่านี้ นี่อะไรกันลงมาเหมือนสารภาพยอมแพ้ ทั้งที่เวลายังไม่จบลงด้วยซ้ำ
ช่วยไม่ได้เลย เวลาที่ทีมแพ้ คนที่ต้องรับผิดชอบไม่ใช่เป็นพวกนักเตะที่วิ่งปุเลงในสนามหรอก แต่เป็นกุนซือที่ยืนสั่งการริมสนามต่างหาก ต้องรับผิดชอบก่อนใคร
พอตเตอร์ เลยตกอยู่ในความกดดันมากขึ้น จากที่โดนสถานการณ์อันตึงเครียดบีบคั้นมาพักใหญ่และแก้ไขอย่างไร มันก็ไม่มีแนวโน้มว่าจะดีขึ้นกว่าเดิมเลย
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่แฟนบอลเชลซีเริ่มจะเดือดดาลแล้ว เสียงโห่ดังขึ้นเป็นระยะๆ รวมถึงการแสดงความคิดเห็นทางแพล็ตฟอร์มต่างๆของโซเชี่ยล ที่บอกเลยว่าส่วนใหญ่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลง
เกรอัม พอตเตอร์ ต้องเร่งทำผลงาน
แม้ พอตเตอร์ จะเพิ่งเข้ามารับงานเมื่อต้นเดือนกันยายน แถมมีช่วงบอลโลกเตะมาคั่นอีกกว่า 1 เดือน รวมแล้วทำงานได้แค่ 3 เดือนเศษๆเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าไม่ได้รับความไว้วางใจอีกต่อไป
คือตอนที่ได้รับการแต่งตั้งให้มาแทน โธมัส ทูเคิ่ล ก็ใช่ว่าสาวกสิงห์น้ำเงินจะศรัทธาหรือเชื่อมั่นอะไรนักหรอก เพียงแต่ว่าสร้างไบรท์ตัน วางระบบและโครงสร้างจนเป็นพื้นฐานอันแข็งแกร่ง เลยดึงดูดความน่าสนใจได้บ้าง
อย่างไรก็ตามพวกแฟนบอลต่างเชื่อว่า หากยังเป็นยุค โรมัน อบราโมวิช เป็นเจ้าของสโมสร คงต้องมองพวกตัวเลือกบิ๊กเนมหรือโปรไฟล์หรูหราสักหน่อย ไม่ใช่มาเน้นประเภทดาวรุ่ง
ตรงนี้อาจเป็นนโยบายของกลุ่มเจ้าของทีมชุดใหญ่ ท็อดด์ โบห์ลี่ หนึ่งในหุ้นส่วน เคยบอกไว้แล้วว่า ต้องการปลุกเชลซีมาอีกครั้งมีมีลักษณะอันโดดเด่นนั่นคือ รักษามาตรฐานแบบระยะยาว ยืนหยัดได้อย่างมั่นคง ไม่เน้นหวือหวา มาซีซั่นเดียวแล้วก็ฮวบลงอีก
พอตเตอร์ ย่อมตอบโจทย์ในฐานะกุนซือหนุ่มใหญ่ไฟแรง ผลงานเปรี้ยงปร้าง ได้รับการจับตามองถึงขั้นนั่งเก้าอี้นายใหญ่ทีมชาติอังกฤษเลย
แต่แฟนบอลเชลซีซึ่งคุ้นเคยความสำเร็จมาตลอดเกือบ 20 ปี ชนิดที่ว่ามาปีเว้นปีหรือห่างหายไม่นาน ย่อมรู้สึกรับไม่ได้เหมือนกัน หลายต่อหลายคนไม่มีความอดทนรอคอยแน่ๆ
บทความที่เกี่ยวข้อง นรก 17 ปีที่แล้วของ ติอาโก้ ซิลวา
อีกทั้งพวกเขาต่างเห็นแล้วว่า สโมสรใช้เงินลงทุนมหาศาลในตลาดซื้อขายผู้เล่นทั้งซัมเมอร์ที่ผ่านมาและล่าสุดมกราคมที่เปิดทำการอีกรอบ
นี่ตลาดเพิ่งเริ่มไม่เท่าไร เชลซีจ่ายในเที่ยวนี้ไปแล้วกว่า 60 ล้านปอนด์ ยังรอการเปิดตัวของ เอ็นโซ่ เฟร์นานเดซ ซึ่งคาดว่าไม่น้อยกว่า 110 ล้านปอนด์
เมื่อบวกกับตอนฤดูร้อนทุบคลังครั้งใหญ่ราว 270 ล้านปอนด์ รวมแล้วใกล้เคียง 450 ล้านปอนด์เลย
ใช้เงินบ้าคลั่งขนาดนี้ มันต้องเห็นผลงานเป็นชิ้นเป็นอันจับต้องได้บ้าง อย่างน้อยก็ขึ้นไปเกาะหัวตารางพรีเมียร์ลีก ไม่ใช่อยู่ตรงกลางอันดับ 10 แถมตกรอบฟุตบอลถ้วยในประเทศ 2 รายการเกลี้ยง
แน่นอนว่า โบห์ลี่ คงต้องการจะให้เวลา พอตเตอร์ ทำทีมอีกสักพัก ก่อนจะตัดสินใจว่าจะเอาอย่างไรต่อไปดี หากปลดเวลานี้มันดูจะไม่แฟร์นัก
แต่แรงกดดันจากแฟนบอลมันก็ทำหวั่นไหวได้เหมือนกัน จากที่ไม่มีความคิด อาจจะมีแวบขึ้นมาบ้าง
เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ที่ผ่านประสบการณ์ในฐานะกุนซือประสบความสำเร็จมากมาย ยืนยันว่าผู้จัดการทีมทุกคนต่างต้องการเวลาทั้งนั้น อย่างน้อยต้องให้อยู่พิสูจน์จนเข้าสู่ฤดูกาลที่ 2 ซะก่อน
ยกเว้นตอนเขาอัพเกรดมาคุมบาร์เซโลน่าชุดใหญ่ แล้วคว้าแชมป์เลย เพราะมี ลิโอเนล เมสซี่ เป็นขุนพลตัวกลั่น ทำอะไรต่อมิอะไรมันก็เลยดูง่ายดายไปไปหมด
เป๊ป พูดดีมีเหตุผลเลยแหล่ะ แต่บอร์ดบริหารจะมองอย่างเดียวกันหรือเปล่า ตรงนี้แหล่ะน่าคิด ต้องติดตามดูกันต่อไป