เป็นข่าวฮือฮาไปเมื่อหลายวันก่อน เมื่อมีการโพสต์ภาพ หลวงปู่ดู่ ซึ่งเป็นรูปหล่อที่อยู่ในครอบแก้ว แต่ปรากฏว่ามีวัตถุเม็ดเล็กๆ สีชมพู เกาะติดองค์พระ จนเกือบเต็มองค์ ซึ่งเชื่อว่ากันว่านั่นคือพระธาตุเสด็จมาที่องค์หลวงปู่ดู่ ทำให้มีผู้มากดไลค์ กดแชร์กันเป็นจำนวนมาก พร้อมกับเขียนข้อความว่าสาธุ บ้างก็บอกว่า เป็นบุญตา
สำหรับรูปหล่อองค์หลวงปู่ดู่นี้ ประดิษฐานอยู่ที่ วิหารพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ (ชั้นพระนอน) วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว จังหวัดเพชรบูรณ์ เจ้าหน้าที่วัดบอกว่า มีโยมท่านหนึ่งนำมาถวายพระอาจารย์ปารมี เจ้าอาวาสวัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว ราว 4-5 ปีมาแล้ว มีพระธาตุสีชมพูมาประทับ แล้วค่อยๆ เพิ่มจำนวนมากขึ้น เชื่อว่า เนื่องมาจากพระอาจารย์ปารมี เป็นพระที่เคร่งการปฏิบัติ
สำหรับหลวงปู่ดู่ ได้ชื่อว่าเป็นพระที่มีวัตรปฏิบัติที่น่ายกย่อง และมีความเมตตาสูง ได้รับฉายาว่า “พรหมปัญโญ” เมื่อครั้งบวชในปี 2468 ที่วัดสะแก ตำบลธนู อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในพรรษาแรกๆ ศึกษาพระปริยัติธรรม ที่วัดประดู่ทรงธรรม ในด้านการปฏิบัติพระกรรมฐานได้ศึกษากับหลวงพ่อกลั่น ผู้เป็นพระอุปัชฌาย์ และหลวงพ่อเภา และได้ร่ำเรียนเพิ่มเติมหลายด้าน จากพระอาจารย์หลายท่าน
เมื่อบวชได้ 3 พรรษาก็เริ่มออกธุดงค์ไปในหลายจังหวัดของภาคกลาง เมื่อกลับมาแล้วก็เลือกที่จะใช้เวลาปฏิบัติธรรมในกุฏิ ไม่รับกิจนิมนต์
จนมาวันหนึ่งหลังจากทำวัตรเย็นแล้วหลวงปู่ดู่ ก็จำวัด แล้วเกิดฝันไปว่า ได้ฉันดาวที่มีแสงสว่างเข้าไป 3 ดวง เมื่อตื่นขึ้นมาก็มาพิจารณาความฝันว่า น่าจะเป็นแก้ว 3 ประการ นั่นก็คือ ไตรสรณคมน์ ก็คือ “พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ”ทำให้หลวงปู่ดู่ เชื่อมั่นว่า ไตรสรณคมน์นี้แหละที่เป็นแก่นแท้ เป็นรากแก้วของพระพุทธศาสนา
หลวงปู่ดู่ จึงสั่งสอน ถ่ายทอด หรือบางครั้งก็ใช้อุบายธรรมที่สอดแทรกการปฏิบัติธรรมให้แก่ญาติโยมที่เข้ามากราบนมัสการ เล่ากันว่า หลวงปู่ดู่ จะโน้มน้าวให้ผู้ที่มาฟังธรรมจากท่านให้เห็นว่า การปฏิบัติธรรมนั้นคือการปรับปรุงแก้ไขตนเอง ท่านว่า “ครูบาอาจารย์ดีๆ มีอยู่มากมาย แต่สำคัญที่ว่าต้องปฏิบัติให้จริง สอนตัวเองให้มาก นั่นแหละจึงจะดี”
ไม่ใช่แค่เพียงการปฏิบัติธรรมเท่านั้นที่หลวงปู่ดูท่านเน้นให้ความสำคัญ วัตถุมงคลที่หลวงปู่ดู่สร้างขึ้นมาก็ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะเข้มขลังด้วยพุทธคุณ แต่หลวงปู่ท่านก็ว่า “ของจริงก็คือ พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สรณังคัจฉามิ” นั่นก็คือ ต่อให้วัตถุมงคลเข้มขลังแค่ไหน ก็สู้การปฏิบัติภาวนาด้วยตนเองไม่ได้ วัตถุมงคลเป็นเพียงเครื่องยึดเหนี่ยว ให้มีสติ
หลวงปู่ดู่ เริ่มสร้างวัตถุมงคลตั้งแต่บวชได้ 3 พรรษา วิธีการของหลวงปู่ ก็คือ นำดินสอพองปั้นเป็นแท่งยาว 3-4 นิ้ว รวม 8 แท่ง เขียนอักขระเลขยันต์ลงบนกระดานชนวน เขียนจนหมดทั้ง 8 แท่ง ก็ลบแล้วเก็บเอาผงดินสอพองที่ลบแล้วนั้นไปผสมกับน้ำข้าวปั้นเป็นแท่ง 8 แท่ง เพื่อเขียนใหม่จนครบ 7 ครั้ง จึงได้เป็นผงดินที่จะนำไปรวมกับมวลสารอันเป็นมงคลอื่นๆ ก่อนจะนำไปสร้างพระ
เรื่องราวจากศิษย์ หลวงปู่ดู่
พระบุญเรือง อนุรกฺกโม หรือหลวงลุงดำ วัดสะแก ศิษย์ของหลวงปู่ดู่ เล่าว่า ตอนหลวงปู่จะสร้างพระ ก็หาวัตถุมาทำแม่พิมพ์ ท่านก็ไปเอาดินเหนียวจากบ่อน้ำมนต์มาผสมกับน้ำมัน จนได้พระรุ่นนั้นออกมา และพากันเรียกว่า พระบล็อคดินเหนียว แต่แท้จริงแล้วหลวงปู่ดู่ สร้างวัตถุมงคลด้วยเจตนาที่จะให้ญาติโยมทั้งหลายใช้วัตถุมงคลเป็นเครื่องปฏิบัติภาวนา
ชื่อเสียงของหลวงปู่ดู่ จึงไม่ได้มีเพียงวัตถุมงคล หากแต่มีบทสวดที่หลวงปู่เขียนขึ้นมาเองด้วย ต่อมาก็ได้รับความนิยมเป็นอันมาก โดยเฉพาะ คาถามหาจักรพรรดิ ที่ต่อมาเชื่อกันว่า หากใครสวดคาถามหาจักรพรรดิของหลวงปู่ดูนี้แล้ว ชีวิตที่เคยมีปัญหา ทำอะไรก็ติดขัดไปหมด ก็จะพบกับความสำเร็จ และยังเชื่อด้วยว่า หลวงปู่ดู่ ใช้คาถา มหาจักรพรรดินี้ เป็นบทสวดเพื่อปลุกเสกวัตถุมงคลอีกด้วย
คาถา มหาจักรพรรดินี้ สวดได้ทุกเวลา ไม่ว่าจะเป็นเช้า กลางวัน เย็น หรือค่ำ บางคนก็เชื่อว่าสวดตอนค่ำนั่นแหละดี เพราะเป็นช่วงที่ภพภูมิต่างๆ เชื่อมถึงกัน ซึ่งก็เป็นความเชื่อส่วนบุคคล รวมทั้งบางคนก็เชื่อว่า สวด 9 จบ 108 จบ จะเสริมความเป็นสิริมงคล บางคนถึงขั้นกำหนดตามวันเกิดเลยว่า ควรจะสวดกี่จบ
แล้วยังเชื่อกันอีกด้วยว่า เมื่อสวดแล้วจะทำให้ เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายได้ไปอยู่ในภพภูมิที่ดี ไม่มาจองกรรมจองเวรกันอีก อันจะทำให้เรื่องร้ายที่จะเข้ามากลายเป็นเรื่องดี หรือผ่อนหนักเป็นเบาได้
ความเชื่อที่ว่านี้ก็อาจจะตรงกับเจตนาของหลวงปู่ดู่ ที่มุ่งเน้นให้ปฏิบัติภาวนาเพื่อให้จิตใจสงบร่มเย็น เกิดพุทธานุสติ เพื่อนำพาไปสู่แสงสว่างของชีวิต
บทความที่เกี่ยวข้อง หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า
คาถา มหาจักรพรรดิ
ก่อนสวดคาถา มหาจักรพรรดิ ท่านก็ให้ตั้งนะโม 3 จบ บูชาพระรัตนตรัย อย่างที่หลวงปู่ดู่ ท่านว่า ไตรสรณคมน์นี้แหละคือแก่นแท้ จากนั้นสมาทานศีล 5 แล้วว่าคาถามหาจักรพรรดิ
“นโม พุทธายะ พระพุทธะไตรรัตนญาณ มณีนพรัตน์ สีสะหัสสะ สุธรรมา พุทโธ ธัมโม สังโฆ ยะ-ธา-พุท-โม-นะ พุทธะบูชา ธัมมะบูชา สังฆะบูชา อัคคีทานัง วะรังคันธัง สีวะลี จะ มะหาเถรัง อะหัง วันทามิ ทูระโต อะหัง วันทามิ ธาตุโย อะหัง วันทามิ สัพพะโส พุทธะ ธัมมะ สังฆะ ปูเชมิ”
อย่างที่หลวงปู่ดู่ ได้กล่าวกับญาติโยมการปฏิบัติภาวนานั่นแหละคือสิ่งที่จะนำพาชีวิตไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง บทสวดคาถา มหาจักรพรรดิ นั้น เมื่อสวดภาวนาแล้วปฏิบัติด้วยตนเองก็จะได้ตามนั้น แต่ใครจะสวดกันกี่จบกี่รอบเป็นเรื่องความเอของแต่ละคน