ตำนานที่เกี่ยวกับ เรื่องราว พญานาค มีอย่างอย่างช้านาน
เรื่องราว พญานาค หรือ พญานาคราช กับตำนานพระพุทธศาสนานั้น มีนานตั้งแต่เมื่อครั้ง สมเด็จพระสัมมาสำพุทธเจ้ายังไม่ได้ทรงตรัสรู้ ต่อมาเมื่อทรงตรัสรู้แล้ว เดินทางไปเผยแผ่ธรรมะ ก็ปรากฏว่า มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับนาคผู้ที่เข้ามาเพื่อปกป้ององค์พระสัมมาสำพุทธเจ้า ชื่อว่า มุจลินทร์
อยากบวชเป็น พระภิกษุ แต่เพราะเป็นเดียรฉาน
ถัดมาก็มีนาคผู้เลื่อมใสในคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ มาขอบวชเป็น พระภิกษุ แต่พอถูกขอให้ลาสิกขา เพราะเป็นเดียรฉาน บวชเป็นพระไม่ได้ ก็ขอให้ผู้ที่จะบวชเป็นพระ ได้บวชเป็นนาค เพื่อรำลึกถึงความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาของนาค
เรื่องราวของ พญานาคราช 7 ตน ที่มาขอทำหน้าที่ปกปักรักษาองค์พระธาตุพนม และขอทำบุญกุศลเพื่อทะนุบำรุงศาสนาพุทธไปจนสิ้นพุทธกาลนั้นมาจาก พระธรรมราชานุวัตร เจ้าอาวาสวัดพระธาตุพนม เมื่อปี พ.ศ.2480
ท่านชอบศึกษาค้นคว้า ได้เปรียญธรรม 6 ประโยค ก่อตั้งสำนักวิปัสสนากรรมฐานขึ้นที่วัดพระธาตุพนมมีทั้งพระทั้งเณร รวมทั้ง แม่ชีไปนั่งวิปัสนาปฏิบัติธรรม เป็นจำนวนมาก ปัจจุบันท่านได้มรณภาพไปแล้ว
พระธรรมราชานุวัตร เคยกล่าวว่า จากที่เป็นคนไม่เชื่ออะไรง่ายๆ แต่พอมาเจอกับเหตุการณ์พญานาคประทับร่างสามเณร ก็เลยเห็นว่าเป็นเรื่องมหัศจรรรย์
บทความที่เกี่ยวข้อง สาริกาลิ้นทอง
เรื่องพญานาคที่พระธาตุพนมนี้ นายไกฮวด ชาวบ้านย่านนั้นเป็นคนไปเล่าให้คนอื่นฟังว่า ในคืนขึ้น 5 ค่ำ เดือน 11 พ.ศ.2500 ซึ่งเป็นพ.ศ.ที่ชาวพุทธถือว่า เป็นช่วงกึ่งพุทธกาล
นายไกฮวด เล่าว่า มีฝนตกฟ้าร้องเสียงดังสนั่น ก็ได้เห็นลำแสง 7 สี ขนาดต้นตาลพุ่งจากทางทิศเหนือหายเข้าไปในองค์พระธาตุพนม
พระธรรมราชานุวัตร ได้ให้สามเณรทรัพย์ นั่งทางในดูว่าที่นายไกฮวด เล่ามานั้นจริงเท็จแค่ไหน ปรากฏว่า สามเณรทรัพย์ เห็นพญานาคทั้ง 7 ก็เกิดความกลัวจนหมดความรู้สึก
ตรงนี้เล่ากันต่อมาว่าพญานาคได้เข้าสิงร่างสามเณรทรัพย์ เพื่อพูดคุยกับพระธรรมราชานุวัตร เพื่อแจ้งว่า เป็นพญานาค มีทั้งหมด 7 ตน
พอบอกว่ามี 7 ตน ก็ไล่เรียงชื่อ ว่า พญาสัทโทนาคราชเจ้า เป็นหัวหน้าหรือประธานหมู่คณะ องค์ถัดไปที่มีสีเขียวนิลคือพญาศีลวุฒินาโค องค์สีเขียวอ่อนคือพญาหิริวุฒินาโค
องค์สีเหลืองคือพญาโอตตัปปะวุฒินาโค องค์สีชมพูคือพญาพาหุสัจจะวุฒินาโค องค์สีแสดคือพญาจาคะวุฒินาโค องค์สีขาวคือพญาปัญญาเตชะวุฒินาโค
พญานาคราช
พญานาคบอกกับพระธรรมราชานุวัตรว่า พระอินทราธิราช สั่งให้มารักษาพระอุรังคธาตุ เพราะเทพยดาเดิมนั้น เอาแต่กินสินบนเครื่องของชาวบ้าน สร้างความมัวหมองให้พระพุทธศาสนา และจะขอรักษาพระบรมสารีริกธาตุไปจนสิ้นพุทธกาล
พญานาคยังบอกด้วยว่า อาศัยอยู่ใต้องค์พระธาตุ พร้อมทั้งแบ่งหน้าที่ให้แก่นาคบริวารที่เหลือได้ดูแลองค์พระธาตุพนมในทิศต่างๆ โดยวิธีแบ่งกันทำหน้าที่ดูแลทิศต่างๆ นั้น แม้ชื่อทิศจะเหมือนกับที่ผู้คนทั่วไปรู้จัก แต่พวกเราคุ้นเคยกันว่า ทิศหลักๆ ก็คือ ทิศเหนือ ทิศตะวันออก ทิศใต้ และทิศตะวันตก
แต่ที่เหล่าพญานาคพากันแบ่งทิศกันดูแล กลับแบ่งเป็น ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ พญาสัทโทนาคราชเจ้า เป็นผู้รักษา พญาศีลวุฒินาโคและพญาหิริวุฒินาโค รักษาทิศตะวันออกเฉียงใต้
พญาโอตตัปปะวุฒินาโคและพญาพาหุสัจจะวุฒินาโค รักษาทิศตะวันตกเฉียงใต้ ส่วนทิศตะวันตกเฉียงเหนือ พญาจาคะวุฒินาโคและพญาปัญญาเตชะวุฒินาโค ร่วมกันดูแลรักษา
แล้วก็ไม่น่าเชื่อว่า พระอินทราธิราช ได้แต่งตั้งให้เทวดาถึงสี่พันหกองค์ และมเหศักดิ์หลักเมืองอีกสามพระองค์ คอยดูแลรักษาพระอุรังคธาตุ ซึ่งหัวหน้าคณะพญานาค ได้บอกกับพระธรรมราชานุวัตร แบบนั้น แล้วก็ย้ำว่า ได้ขับไล่เทพยดาเหล่านั้นไปหมดแล้ว ด้วยเหตุที่กินสินบนเป็นหมู่คณะ
หัวหน้าคณะพญานาค ยังกล่าวผ่านร่างทรงด้วยว่า นอกจากมาทำหน้าที่รักษาองค์พระธาตุแล้ว ยังอยากจะบำบัดทุกข์ทั้งกายและใจให้แก่มนุษย์ทุกเพศทุกวัย ไม่เลือกชาติศาสนาใดๆ อีกด้วย
โดยขอให้พระธรรมราชานุวัตร เป็นธุระให้ในเรื่องร่างทรง เป็นสามเณรหรือแม่ชีก็ได้ ผู้ที่ต้องการให้ตรวจรักษา ก็ให้มาลงชื่อไว้ พบเจอเป็นโรคอะไร ก็จะให้ใบสั่งยา ไปหาซื้อสมุนไพร หรือยาจากร้านขายยา มากินเอง
แต่ถ้าป่วยไข้ทางจิต หรือคุณไสย ก็ต้องให้น้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ หรือใช้อำนาจทางจิตแก้ ทั้งนี้ไม่ต้องเอาเครื่องเซ่นสรวงมาให้ ขอแค่น้ำเปล่าถ้วยหนึ่งก็พอ เพราะน้ำจะช่วยเป็นสื่อ หากต้องการติดต่อพญานาค ก็ตั้งถ้วยน้ำลอยดอกมะลิ จุดธูป 7 ดอก แล้วกล่าวอัญเชิญ ก็สามารถติดต่อกันได้แล้ว