ใครที่ได้ชมเกมพรีเมียร์ลีกระหว่าง หงษ์แดงลิเวอร์พูล พบ ไบรท์ตัน ที่เอเม็กซ์ สเตเดี้ยมเมื่อวันเสาร์ น่าจะพอยอมรับว่าลิเวอร์พูลสมควรด้วยประการทั้งปวงที่จะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้
ไบรท์ตันแสดงให้เห็นเลยว่าเหนือกว่าหลายกระบวนเพลง กลายเป็นทีมที่ห่างชั้นกันอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งที่หงส์แดงคือรองแชมป์เก่าเมื่อฤดูกาลที่แล้ว ได้ลุ้นเบียดอย่างระทึกจนกระทั่งนัดสุดท้าย
จากความปราชัยชนิดช็อกเดอะ ค็อปทั่วโลกล่าสุดนั่นเอง ส่งผลให้ 6 นัดหลังสุดทุกรายการ พ่ายแพ้ไปแล้วถึง 3 เกม บ่งบอกถึงความไม่ปกติอย่างแน่นอน
แล้วเกมที่ชนะเลสเตอร์ 2-1 ยังอดไม่ได้ที่จะบอกว่ามีโชคอย่างมาก ได้อานิสงส์จากการทำเข้าประตูตัวเองของ เว้าท์ ฟาส ถึง 2 ประตูด้วยกัน ทั้งที่รูปเกมไม่ได้ดีกว่าสักเท่าไร
เช่นเดียวกับศึกเอฟเอ คัพ ซึ่งเสมอกับวูล์ฟแฮมป์ตันแบบหืดจับ 2-2 โชคดีอย่างมากที่ได้รีเพลย์ใหม่ เพราะประตูที่หมาป่าได้ในช่วงท้าย โดนริบจาก VAR ว่าเป็นจังหวะล้ำหน้า
จนถึงตอนนี้ยังไม่เคลียร์เลยว่า ตกลงแล้วล้ำจากตรงไหนกัน เพราะกล้องบริเวณดังกล่าวไม่ได้ติดตั้งไว้ เหลี่ยมมุมไม่เอื้อก็เลยต้องว่ากันตามที่ผู้ตัดสินชี้แจงมา
เพราะไม่อย่างนั้นหงส์แดงตกรอบเรียบร้อยอีกรายการ ทั้งที่เป็นแชมป์เก่า หลุดจากเส้นทางตั้งแต่รอบ 3 เลย
ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจว่าทำไมแฟนๆถึงก่นด่ากันเยอะมาก ไม่พอใจที่แพ้แบบหมดสภาพ ไม่ได้หืออือเลย ตกลงแล้วสาเหตุมาจากอะไรกันแน่?
ฤดูกาลก่อนยังไล่ล่า 4 แชมป์ประวัติศาสตร์อย่างเต็มตัว ได้ลุ้นทุกรายการกระทั่งหยดสุดท้าย ก่อนจะได้แค่ 2 ถ้วยเล็ก ซึ่งมันน่าจะสร้างแรงฮึกเหิมให้พวกเขาต่อยอดกันในซีซั่นนี้
ปัญหาหลัก หงษ์แดงลิเวอร์พูล
เดอะ ค็อปไม่น้อยหน้าโยนความผิดให้กับเจ้าของสโมสร ซึ่งก็คือ FSG ผู้ถือหุ้นมากสุด จอห์น เฮนรี่ เป็นหัวเรือใหญ่
ทำไมต้องโบ้ยมายังเจ้าของล่ะ? เหตุผลมาจากการไม่สนับสนุนงบประมาณอย่างเหมาะสม หากคุณต้องการรักษามาตรฐาน ลุ้นความสำเร็จเช่นเดิม ไม่มีทางเลยที่จะขี้เหนียวหรือรอนั่นนี่แล้วค่อยอนุมัติ
เรื่องนี้มันลากยาวมาตั้งแต่ตลาดซัมเมอร์ นักเตะขาเข้ากับขาออก มีมูลค่าไม่ต่างกันเยอะนัก ส่วนต่างแค่ราว 20 กว่าล้านปอนด์เท่านั้นเอง ทั้งที่ควรทุ่มทุนอย่างสมน้ำเสมเนื้อ เหมือนสโมสรระดับท็อปอื่นๆ
จะมาอ้างว่าจ่ายเกือบ 100 ล้านยูโร ไปดึงเอา ดาร์วิน นูนเญซ มาจากเบนฟิก้าแล้วไม่ได้หรอก นี่คือตัวแทนของ ซาดิโอ เมเน่ ซึ่งโดนบีบให้ต้องขายสู่บาเยิร์น มิวนิค
ตรงไหนที่ควรปะผุซ่อมแซม มันก็ควรทำไปเลย อย่ามัวรีรอเวลาดีกว่า แต่นี่กลับปล่อยทิ้งค้างไว้ จนกลายเป็นปัญหาเรื้อรังถึงตรงนี้
พวกกองเชียร์เชื่อว่า ตลอดมกราคมควรได้จัดหนักเป็นการชดเชย พวกเขายินดีที่เห็น โคดี้ กัคโป สมาชิกใหม่ย้ายมาร่วมทีมจากพีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่นด้วยมูลค่าเกือบ 40 ล้านปอนด์
นอกจากได้ผู้เล่นตัวรุกมาเสริมตามต้องการ เพื่อแทนที่กลุ่มที่เจ็บยาวอย่าง หลุยส์ ดิอาซ และ ดีโอโก้ โชต้า ยังเป็นการตัดหน้าแมนฯยูไนเต็ดคู่ต่อสู้สำคัญด้วย เรียกว่าเพิ่มความสะใจอีก
อย่างไรก็ตามคนเดียวไม่น่าพอ แฟนหงส์อยากเห็นสองรวด กองกลางคือตำแหน่งที่กำลังขาดแคลนนักเตะที่เจ๋งจริงๆ
หากวัดในแง่ปริมาณจะเห็นว่า ตำแหน่งนี้แน่นเอี๊ยดไปหมด แต่หากพูดกันถึงคุณภาพ ยอมรับเถอะว่าสอบไม่ผ่านหลายราย
ฟาบินโญ่ , จอร์แดน เฮนเดอร์สัน หรือ ติอาโก้ อัลกันตาร่า 3 แกนหลัก โรยราลงพร้อมกัน นั่นคือจุดเสียเลย เพราะไม่มีใครสามารถประคองแบบโอเคเห็นแล้วอุ่นใจ
ที่เหลือคอยมาสลับสับเปลี่ยนก็ใช่ว่าจะไว้เนื้อเชื่อได้เท่าไร ไม่ว่าจะเป็น เจมส์ มิลเนอร์ ซึ่งเจ็บออดแอด , นาบี เกอิต้า , อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด แชมเบอร์แลน รวมทั้ง เคอร์ติส โจนส์ กับ ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ ซึ่งยังต้องเก็บเกี่ยวประสบการณ์เพิ่มไม่น้อย
แล้วเกมล่าสุดเห็นเลยว่า แดนกลางเป็นรองทัพนางนวลแทบทุกช่องทาง ปล่อยให้ดาวรุ่งอย่าง มอยเซส ไกเซโด้ แข้งที่เคยตกเป็นข่าวโยงกันในตลาดซื้อขาย คุมเกมอยู่หมัด
เคยมีข่าวก่อนหน้านี้ว่า ลิเวอร์พูลต้องการดึง ไกเซโด้ มาร่วมทีม แต่โดนโก่งค่าตัวไปไม่น้อยกว่า 60 ล้านปอนด์ เลยไม่คิดจะสู้ราคา เพราะเห็นว่าแพงเกิน
แต่เกมนี้เป็นการตอกหัวหมุดย้ำเลยว่า ของจริงที่เต็มไปด้วยคุณภาพ มันจำต้องกล้าจ่าย ไม่ใช่มัวแต่เกี่ยงงอนไป จะหาของถูกและดียุคนี้โคตรยาก
แล้วก็ใช่ว่าสโมสรจะไม่มีเงิน ที่ผ่านมามีรายได้เข้ามาจากหลายทาง อันเป็นผลพวงของความสำเร็จในยุคหลัง ดังนั้นก็น่าจะยอมซื้อผู้เล่นแพงๆ อย่ามัวมายึดติดกับนโยบายเก่าๆอยู่เลย
ปล่อยไว้อย่างนี้ลิเวอร์พูลจะโดนทีมอื่น ทิ้งห่างหลายช่วงตัว ทีนี้แหล่ะรับรองว่าไล่ตามลำบากเลย
บทความที่เกี่ยวข้อง
หรือว่า ทีมนาโปลี จะสิ้นสุด 33 ปีที่รอคอย?
นั่นคือสาเหตุที่แฟนบอลไม่น้อยติดแฮชแท็ค #FSGOUT แสดงพลังกันขับไล่ เพราะไม่ได้ใส่ใจอย่างจริง อาจแคร์แค่เรื่องผลประโยชน์ของตัวเองมากกว่าหรือมัวแต่เจรจาขายสโมสร
ถามว่าลิเวอร์พูลน่าเป็นห่วงแค่ไหนกัน? บอกเลยพอสมควรแหล่ะ แต่ต้องลุ้นกันต่อ เจอร์เก้น คล็อปป์ จะผลักดันขึ้นมาได้ดีขนาดไหน แต่ถ้ายังไม่กระเตื้อง บางทีอาจต้องมองย้อนมายังผู้จัดการทีมด้วย
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ในวันที่ผลงานทรุดหนัก ต่ำกว่าเป้าหมายที่วางเอาไว้ คล็อปป์ ก็ต้องเป็นคนรับผิดชอบไม่น้อยไปกว่าใครเลย
อย่าเพิ่งมองไกลเรื่องการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แต่ก็ใช่ว่ามันจะเกิดขึ้นไม่ได้
