กู่ช้างกู่ม้า เมือง ลำพูน คำว่า “กู่” เป็นภาษาท้องถิ่น ของคนไทยในภาคเหนือ หรือภาษาคำเมืองที่หมายถึงเจดีย์ กู่ช้าง กู่ม้า จึงหมายถึง เจดีย์ช้าง เจดีย์ม้า ซึ่งกู่ช้างกู่ม้า นั้นเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองลำพูน มานานเกือบ 400 ปีมาแล้ว
ชาวบ้านเมืองลำพูนให้ความเคารพนับถือ มากราบไหว้ขอพร ซึ่งก็ขอกันได้ทุกเรื่อง เมื่อสมหวังแล้วก็จะมาแก้บน เอาสิ่งของเครื่องเซ่นมากราบไหว้ ที่ศาลเจ้าพ่อกู่ช้าง ซึ่งสถานที่แห่งนี้จึงเป็นศูนย์รวมของทั้งสายศึกษาประวัติศาสตร์ และสายเสี่ยงโชคเสี่ยงดวง
ที่น่าจะรวมไปถึงขอหวย ขอเลขเด็ด เพราะมีคำยืนยันว่า บริเวณกู่ช้าง กู่ม้า ก่อนที่จะมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยว เชิงประวัติศาสตร์ของเมืองลำพูนแห่งนี้ เดิมเป็นป่ารก ต้องใช้ทั้งแรงศรัทธาและเงินทุน ร่วมจิตร่วมใจกันบูรณะขึ้นมาใหม่
แน่นอนว่า เงินทุนที่นำมาบูรณะกู่ช้างกู่ม้านั้น ส่วนหนึ่งมาจาก การบริจาคของผู้ที่มาบนบานกับเจ้าพ่อกู่ช้าง แล้วประสบความสำเร็จ
เรื่องเล่า ตำนาน กู่ช้างกู่ม้า เมือง ลำพูน
ตำนานเมืองลำพูนเล่าว่า กู่ช้างนั้นเป็นเจดีย์ที่สร้างขึ้นเพื่อครอบซากพระยาช้างที่ชื่อ ผู้ก่ำงาเขียว เป็นช้างผิวสีคล้ำ มีงาเขียว เชื่อว่า เป็นช้างศึกของพระนางจามเทวี กษัตริย์องค์แรกของนครหริภุญไชย
ตำนานเล่ากันมาว่า พระยาช้างผู้ก่ำงาเขียวนั้น มีฤทธิ์มาก มีบารมี ยามออกศึกเพียงแค่หันหน้าไปหาศัตรู ก็แทบจะได้รับชัยชนะแล้ว เพราะศัตรูเมื่อเผชิญหน้าพระยาช้างผู้ก่ำงาเขียวก็พากันครั่นคร้าม ไม่กล้าต่อกรด้วย
ว่ากันว่า ศึกครั้งสุดท้ายของพระยาช้างผู้ก่ำงาเขียวเกิดขึ้นที่ดอยสุเทพ เป็นศึกระหว่างพระนางจามเทวี กับขุนหลวงวิลังคะ เจ้าเมืองลั๊วะ ก็แน่นอนอีกเหมือนกัน เจ้าเมืองลั๊วะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ให้แก่พระนางจามเทวี ที่ทรงช้างผู้ก่ำงาเขียวทำศึก
พระยาช้างผู้ก่ำงาเขียวล้มเมื่อวันขึ้น 9 ค่ำ เดือน 9 แต่ด้วยความที่เป็นพระยาช้างศึก เมื่องาเขียวหันไปทางทิศใด ก็จะทำให้ทิศนั้นเกิดอาเพศ เกิดความเดือดเนื้อร้อนใจ พระนางจามเทวี เกรงว่า จะเกิดเภทภัยแก่ชาวเมืองหริภุญไชย
จึงสั่งให้สร้าง “กู่” หรือเจดีย์ครอบซากพระยาช้างผู้ก่ำงาเขียว นั้นเอาไว้ โดยให้งาขอผู้ก่ำงาเขียวชี้ไปบนฟ้า กู่ช้าง หรือเจดีย์ช้างเมืองลำพูนจึงไม่เหมือนเจดีย์ที่ใด เพราะเจตนาในการสร้างนั้น เพื่อปกป้องชาวเมืองหริภุญไชย จากอาถรรพ์พระยาช้างผู้ก่ำงาเขียว
กู่ช้าง ที่สร้างขึ้นมีฐานทรงกลมซ้อนกันขึ้นไป 5 ชั้น รองรับฐานบัวคว่ำ และมีองค์ระฆังที่สูงขึ้นไปกว่าปกติ ปลายยอดตัด ไม่ได้ปลายแหลมแบบเจดีย์ทั่วไป เชื่อว่าการสร้างเจดีย์ช้างแบบนี้น่าจะได้รับอิทธิพลจากการสร้างเจดีย์ของพม่า
แต่ก็อีกนั่นแหละ การสร้างเจดีย์ช้างของพระนางจามเทวีในครั้งนั้น ไม่ได้สร้างเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา แต่เป็นการสร้างเจดีย์ช้างเพื่อปกป้องชาวเมืองหริภุญไชย
กู่ช้าง แห่งนี้เป็นที่รวมจิตรวมใจของชาวเมืองลำพูน ก่อนที่จะบูรณะขึ้นมา ก็จะมีเศษอิฐที่แตกหักไปตามกาลเวลา หล่นอยู่รอบองค์เจดีย์ ชาวบ้านที่มีความเชื่อจะนำเศษอิฐชิ่นเล็กๆ ที่เรียกว่า เป๊ก ไปต้มน้ำกินเพื่อรักษาโรค เชื่อว่าจะทำให้โรคภัยไข้เจ็บหายไป
บางรายก็จะนำเศษอิฐชิ้นเล็กๆ หรือเป๊ก ไปทำเป็นเครื่องราง เชื่อว่าจะทำให้โชคดี แคล้วคลาดจากภัยอันตราย เพราะอำนาจและบารมีของพระยาช้างผู้ก่ำงาเขียว แต่ก็มีคำเตือนว่า เมื่อเอาไปใช้งานแล้ว จะต้องนำกลับมาคืนที่กู่ช้าง
ชาวลำพูนสร้างศาลเจ้าพ่อกู่ช้าง ไว้ในทางทิศตะวันออกใกล้กับ กู่ช้าง ด้านหน้าศาลเจ้าพ่อกู่ช้าง มีรูปปั้นจำลองของปู่ก่ำงาเขียว เพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้มาสักการะขอพร เชื่อกันว่าหากได้ลอดท้องพระยาช้างผู้ก่ำงาเขียว ถือเป็นสิริมงคล ขออะไรก็จะประสบความสำเร็จ ซึ่งจุดนี้ บรรดาคอหวยทั้งหลายต้องห้ามพลาด เพราะมีการยืนยันว่า ส่วนใหญ่ที่มาขอแล้วมักจะประสบความสำเร็จ หากมาถึงที่นี่แล้ว เลขเด็ด ก็จะต้องมาเหมือนกัน
บทสวดกราบไหว้บูชา ศาลเจ้าพ่อช้าง
เมื่อมาถึงแล้วจะกราบไหว้ขอพรเจ้าพ่อกู่ช้าง เขาก็มีคำไหว้เจ้าพ่อกู่ช้าง ไว้ที่ด้านข้าง โดยเริ่มต้นว่า “สาธุ อิสังโต (ให้ว่า 3 จบ) กะยา กะโร อิกะตัง พระยาขุนจงคงกระพัน เจาะพระยาช้าง ผู้ก่ำงาเขียว อิตะกะตัง จะหิตายะ จะสุขายะ ปะระมัง โสติ”
แต่หากจะมาร่วมงานบวงสรวงกู่ช้าง เมืองลำพูนเขาก็จะจัดขึ้นในวันขึ้น 9 ค่ำ เดือน 9 ของทุกปี ก็ตรงกับวันที่พระยาช้างผู้ก่ำงาเขียวล้ม เมื่อเกือบ 400 ปีก่อน ในวันงานก็จะพิธีรดน้ำดำหัวและบวงสรวงเจ้าพ่อ เพื่อขอขมาลาโทษ ขอพร ขอโชคของลาภ ให้ปกปักรักษา ขจัดปัดเป่าอุปสรรคความทุกข์ให้พ้นไป
ส่วนกู่ม้า นั้นอยู่ด้านหลังกู่ช้าง เชื่อกันว่าเป็นที่บรรจุซากม้าศึกของพระเจ้ามหันตยศ พระราชโอรสของพระนางจามเทวี มีฐานสี่เหลี่ยม ทรงระฆังคว่ำ ส่วนยอดหักพังทลายไปแล้ว
บริเวณที่ตั้งของกู่ช้าง กู่ม้าแห่งนี้ เชื่อกันว่าเป็นที่ที่เตรียมช้างศึก ม้าศึก ก่อนที่จะทำการออกรบ เพราะอยู่ใกล้กับแม่น้ำ สะดวกทั้งการเคลื่อนทัพทั้งทางบกและทางน้ำ