ทันทีที่ฤดูกาลก่อนปิดฉากลง แฟนแมนฯยูไนเต็ดไม่น้อยคาดหมายกันว่า มาร์คัส แรชฟอร์ด มีโอกาสสูงมากจะไม่ได้อยู่กับทีมอีกต่อไป
มีหลากหลายเหตุผลทำให้คิดแบบนั้นได้ เอามาขยำรวมกันแล้วยิ่งมองเห็นชัดเจนหนักข้อเข้าไปอีก
ไม่ว่าจะเป็นสัญญาที่จะหมดลงในซัมเมอร์ 2023 เหลือเวลาแค่ปีเดียว แม้มีอ็อปชั่นผูกมัด แต่ก็ยังไม่ชัวร์ว่าจะได้ใช้หรือเปล่า
รวมทั้งฟอร์มที่ดร็อปลงอย่างน่าจะหาย ไม่มีวี่แววว่าจะกลับมาเป็นคนเดิม เหมือนช่วง 4-5 ปีก่อนเลย มันจมดิ่งลงไปลึกมาก ราวกับว่าหมดสิ้นหวังเรียบร้อย
ปมในใจของ แรชชี่ น่าจะเป็นหนึ่งในสาเหตหลัก เขากลายเป็นคนที่ขาดความเชื่อมั่นดื้อๆ จากดาวรุ่งพุ่งกระฉูดที่ควรเป็นแกนหลักของสโมสรและทีมชาติในอนาคต จนวัยเข้าใกล้เบญจเพส กลับมีแต่แย่ลง
ผลงานอันน่าหดหู่ 5 ประตูกับ 2 แอสซิสต์ ในซีซั่นที่แล้ว มันบรรยายไว้หมดเปลือก ไม่จำต้องพูดอะไรออกมาให้มากหรอก
นอกจากนี้การมาของ เอริก เทนฮาก ผู้จัดการทีมคนใหม่ ก็น่าคิดเช่นเดียวกันว่า จะเก็บแข้งรายนี้ไว้ในแผนการสร้างทีมด้วยหรือเปล่า
กิตติศัพท์ของกุนซือดัตช์เท่าที่ทุกพอจะรู้คือ เคร่งครัดเรื่องวินัย นักเตะใจต้องสู้ จะมาประเภทเหยาะแหยะ วิ่งแบบประคองตัวพอเป็นพิธี บอกเลยว่าไม่มีทางได้อยู่ในทีมแน่
แล้วนั่นคือบางส่วนคุณสมบัติของ แรชฟอร์ด ซึ่งแสดงให้เห็นอยู่บ่อยๆ สิ่งที่โดนวิจารณ์มากสุดคือเรื่องภาษากาย ไม่ได้บ่งบอกว่าคุณต้องการจะเป็นผู้ชนะเลยสักนิด
เวลาทำผลงานผิดพลาดหรือโดนคู่แข่งแย่งบอลไป มักเดินคอตกเซื่องซึม สารภาพศิโรราบว่ายอมแพ้แล้ว เห็นอย่างนี้เข้าคู่แข่งก็ลูบปากกันสบาย แสยะยิ้มรอฟาดชัยนิ่มๆ
ขณะเดียวกันเสียงวิจารณ์แง่ลบ เรื่องให้ความสนใจกับเรื่องนอกสนามมากเกินไป ไม่สนใจเท่าในสนาม ซึ่งเป็นหน้าที่หลัก ก็น่ากระทบต่อสภาพจิตใจด้วย
เข้าใจว่าการรับบทเป็นผู้นำรณรงค์เรื่องอาหารกลางวันเด็กๆ ซึ่งรัฐบาลควรช่วยเหลือจุนเจือให้มากยิ่งขึ้น ถือเป็นวีรกรรมที่น่าปลาบปลื้มมาก เสียงของ แรชชี่ ดังพอที่จะทำให้ผู้หลักผู้ใหญ่ต้องแอ็กชั่นตาม
เขาได้รับการตอบแทนอย่างดีงาม รับเครื่องราชฯ MBE ในฐานะทำประโยชน์ยิ่งใหญ่ต่อส่วนรวม อีกทั้งมีคำว่า “ด็อกเตอร์” จากปริญญาเอกดุษฎีกิตติมศักดิ์อย่างสมเหตุสมผล ไม่มีข้อกังขาอะไรทั้งสิ้น
นั่นตรงข้ามกับผลงานในสีเสื้อแมนฯยูไนเต็ดอย่างแท้จริง ทั้งที่คือหน้าที่หลัก เขาไม่ใช่นักการเมืองหรือนักสังคมสงเคราะห์ แต่เป็นนักฟุตบอลอาชีพ ควรรู้อยู่แล้วว่า ต้องทำอะไรก่อน
เสียงดังมากเท่าไร ดูเหมือนว่าเขาใจยิ่งใจฝ่อหนัก แบกรับไม่ไหว จนส่งแรงกระแทกถึงเกมในสนามตามไปด้วย
จาก โอเล่ กุนนาร์ โซลชา เจ้านายคนที่น่าจะโอเคสุด แล้วเปลี่ยนมาเป็น ราล์ฟ รังนิก สถานการณ์ยิ่งหนักข้อกว่าเดิม จนกลายเป็นแข้ง Nobody อย่างแท้จริง
ด้วยเหตุนี้ใครจะบ้าคิดว่า เขาจะใช้เวลาสั้นๆกลับมาโชว์ฟอร์ม ซึ่งต้องบอกว่าพีกสุดในการค้าแข้งได้ล่ะ
เอริก เทนฮาก ผู้ดึงฟอร์มของ มาร์คัส แรชฟอร์ด กลับมา
นับตั้งแต่เปิดฤดูกาลปัจจุบัน จนถึงเวลานี้ แรชชี่ กดไปแล้วทั้งสิ้น 21 ประตูในทุกรายการ บวกด้วย 8 แอสซิสต์ มันต่างกันสุดขั้วกับฤดูกาลที่แล้ว ไม่น่าเชื่อว่านี่คือคนเดียวกัน
ต้องให้เครดิต เอริก เทนฮาก ผู้ชุบชีวิตขึ้นมาใหม่ ไม่มีใครรู้รายละเอียดว่า เจ้านายลูกน้องคู่นี้พูดอะไรกัน แต่ที่แน่ๆมันทำให้ แรชชี่ กลับมาเป็นคนดีคนเดิมที่เคยรู้จัก
แน่นอนว่า เทนฮาก ต้องปลุกความเชื่อมั่น เยียวยาสภาพจิตใจ เพื่อให้นักเตะได้ไปต่อ
บวกด้วยความไว้วางใจที่มอบให้ ไม่ใช่ปล่อยลอยแพ แต่เปิดโอกาสลงตัวจริง จนค่อยๆคัมแบ็กทีละก้าวอย่างมั่นคงนี่แหล่ะ
ในเมื่อนักเตะเก่งอยู่แล้ว แสดงให้เห็นตั้งแต่ขึ้นชุดใหญ่มาใหม่ๆ ไม่จำเป็นต้องย้อนไปพูดถึงความสามารถอะไรนัก เพียงแต่ต้องถามหาพัฒนาการและมาตรฐานต่างหาก
เทนฮาก บอกเลยว่า แวบแรกที่เห็นก็รู้ว่า แรชชี่ มีของอยู่แล้ว เหลือเวลาที่จะปล่อยออกมาโชว์เท่านั้นเอง ซึ่งต้องหาทางดึงออกมาให้สำเร็จ
อีกคนที่ต้องได้รับคำชมเช่นเดียวกันคือ เบนนี่ แม็คคาธี่ย์ โค้ชกองหน้า ซึ่งมาช่วยเสริมให้ศักยภาพของ แรชฟอร์ด แกร่งยิ่งกว่าเดิม โดยเฉพาะลูกกลางอากาศ ซึ่งเคยเป็นจุดอ่อน
ล่าสุดโขกใส่ลีดส์อย่างเด็ดขาด พร้อมพาปีศาจแดงหามสามคะแนนออกไปอย่างน่าภาคภูมิใจ เชื่อว่ามาจากครูคนนี้แหล่ะ
ในฐานะกองหน้าเก่า ค้าแข้งในพรีเมียร์ลีกมาก่อน ย่อมมีวิชาติดตัวอยู่แล้ว จึงถ่ายทอดให้แข้งรุ่นน้องอย่างไม่ยากเย็นอะไรเลย
จุดอ่อนในตัวก็ถูกแก้ไขให้ดีขึ้น จุดแข็งก็ได้รับการเติมเต็มเรื่อยมา จนวันนี้ไม่เกินเลยหรอก หากจะบอกว่าคือกองหน้าดีสุดคนหนึ่งของพรีเมียร์ลีกเรียบร้อย
มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรือเป็นการกลับมาด้วยตัวเองของ แรชฟอร์ด แต่เขาถูกจับเจียระไนขัดเกลา จนกลับมาเป็นเพชรที่ส่อฝประกาย น้ำงามแวววาวมากกว่าที่เคยซะอีก
ไม่รู้หรอกว่าจบฤดูกาล แรชชี่ จะยิงได้สักกี่ประตูหรือแมนฯยูไนเต็ดจะประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน
แต่ถึงตรงนี้นักเตะมั่นใจเกินกว่าจะมีอะไรมาหยุดยั้งได้อีก
นอกเหนือจากตัวเขาเองเท่านั้น