หลังความพ่ายแพ้ที่มีให้แมนฯซิตี้เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา มิเกล อาร์เตต้า แสดงออกว่าไม่ได้หวั่นไหวอะไรเท่าไรนัก ปืนใหญ่อาร์เซน่อล อาจจะหล่นจากจ่าฝูงที่ยึดครองมานานหลายเดือน แต่หากมองโอกาสแล้ว ต้องยอมรับว่าพวกเขายังได้เปรียบกุมชะตาตัวเองเอาไว้
แต้มเท่าเรือใบสีฟ้า เหลือเกมในมือมากกว่า 1 นัด หากชนะในเกมตกค้าง ยังไงก็แซงกลับขึ้นไปยึดแท่นได้เหมือนเดิม
อาร์เตต้า เลยประกาศว่าเชื่อมั่นในทีมของตนไม่เปลี่ยนแปลง อย่างน้อยไม่ต้องโยนความกดดันไปให้ลูกทีมด้วย
ข้างนอกเห็นว่าน่าจะยังแข็งแกร่ง แต่ภายในนี่สิ สงสัยเหมือนกันว่าจะแข็งแรงพอต่อสู้ในช่วงเวลาที่เหลือหรือเปล่า
ไม่มีทางปฏิเสธได้เลยว่า เป้าใหญ่ของอาร์เซน่อลในฤดูกาลนี้ คือกลับมาผงาดครองแชมป์ลีกอีกครั้ง
จากแรกเริ่มเดิมที คงหวังแค่ท็อปโฟร์ไว้ก่อน ยึดพื้นที่ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ทว่าเล่นไปเล่นมาแรงดีไม่มีตก ตอกย้ำด้วยสไตล์การเล่นบุกแหลกแลกหมัด โจมตีอย่างดุดันไม่เกรงใจใคร
ส่งผลให้พวกเขาลุ้นแชมป์อย่างเต็มตัว ปราศจากข้อกังขา โดยมีแมนฯซิตี้แชมป์เก่าเป็นแคนดิเดตเบอร์ต้นเช่นเคย
หลายคนยังไม่ค่อยเชื่อน้ำยาสักเท่าไรนัก แต่เมื่อโชว์ให้เห็นแล้วว่า ยืนหยัดตามแนวทางได้หนักแน่นมั่นคง เสียงจึงเป็นเอกฉันท์ชัดเจน ถ้าพวกเขาคัมแบ็กครองแชมป์ครั้งแรกในรอบ 19 ปีคงไม่ใช่เรื่องประหลาด
ครั้งสุดท้ายกันเนอร์ยึดบัลลังก์ลีกสูงสุด ต้องย้อนไปฤดูกาล 2003/04 โน่นเลย นานมากๆ จนแฟนบอลรุ่นใหม่แทบจำไม่ได้ บางคนอาจเกิดไม่ทันอีกต่างหาก
ต้องไม่ลืมด้วยว่า ฟุตบอลถ้วยในประเทศ 2 รายการ พวกเขาก็ล้วนหลุดจากเส้นทางเรียบร้อย ไม่ว่าจะเป็นคาราบาวคัพที่ยุติเพียงแค่รอบ 3 หรือเอฟเอ คัพที่ไปได้ไกลแค่รอบ 4
ในขณะที่ยูโรปา ลีกแม้จะหักด่านทะลุมาถึงรอบน็อกเอาท์หรือ 16 ทีมสุดท้ายสำเร็จ แต่เปรียบไปแล้ว ถ้วยนี้น่าจะเหมือนแค่ออร์เดิร์ฟเท่านั้นเอง ไม่ได้เป็นเมนคอร์สหรอก
เมนูหลักมีเพียงแค่พรีเมียร์ลีกเท่านั้น ต้องมุ่งมั่นทุ่มเททำให้สำเร็จ นี่คือสิ่งที่ อาร์เตต้า ต้องการพิสูจน์ให้โลกรู้เลยว่า เขามีศักยภาพดีพอ ต่อให้ผ่านชั่วโมงบินมาน้อยมากก็ตาม
ทว่าสิ่งที่ควรรู้ไว้ก็คือ แชมป์ลีกนั้นคือภารกิจที่ยากสุดๆแล้ว โดยเฉพาะในพรีเมียร์ลีก ซึ่งมีตัวแปรสำคัญเป็นอุปสรรคขวากหนามอีกสารพัดให้ต้องฝ่าไป
โปรแกรมที่ชุกมาก หวดกันต่อเนื่องแทบไม่มีเวลาหายใจหายคอ ตามด้วยทีมระดับท็อปไม่น้อยกว่า 6-7 ทีม รวมถึงพวกกลุ่มรองลงไป ก็ล้วนแต่กระดูกขัดมันทั้งสิ้น ยิ่งต้องออกไปเยือนด้วยแล้ว งานช้างเลยทีเดียว
หากคุณจะเข้าวินถึงเส้นชัยก่อนใคร หมายถึงศักยภาพทุกด้านต้องแกร่งมากพอ ยืนหยัดให้ได้ รักษามาตรฐานให้ดี ล้มๆได้นานครั้ง แต่ต้องรีบลุกขึ้นมา ไม่มีเวลามานั่งละเลียดโอดครวญกันเด็ดขาด
มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เรื่องน่ากลัวที่ว่ามานี้ ปืนโตกำลังเผชิญอยู่และต้องรีบผ่านให้ได้โดยเร็วที่สุด
4 นัดหลังสุดทุกรายการ ปืนใหญ่อาร์เซน่อล ไม่ชนะเลย ถือว่าผิดปกติเอามากๆ
เริ่มจากโดนแมนฯซิตี้เขี่ยร่วงเอฟเอ คัพ ซึ่งพอเข้าใจได้แหล่ะ เพราะทีมต้องโฟกัสเกมลีกเป็นหลัก ไม่จำเป็นต้องฟูมฟายเสียดายอะไรมาก เมื่อจับสลากมาเจอคู่ต่อสู้สุดหิน ก็ต้องทำใจ
จากนั้นล็อกพังวินาศสันตะโร โดนเอฟเวอร์ตันเผาเครื่องที่กูดิสัน พาร์ค ทีมที่เพิ่งเปลี่ยนผู้จัดการทีมใหม่และไม่เป็นโล้เป็นพาย เกิดพีกขึ้นมาสยบจ่าฝูง
เกมดังกล่างปืนโตอาจครองบอลมากกว่า สร้างโอกาสเยอะกว่า แต่เมื่อเจาะไม่ได้ มันก็เปล่าประโยชน์
พวกเขาควรรีบฟื้นขึ้นอย่างรวดเร็ว ในเกมถัดมารับมือเบรนท์ฟอร์ด เล่นในบ้านด้วย ไม่น่าคณามือสักเท่าไร
ที่ไหนได้อุตส่าห์มาได้ประตูสำคัญ เมื่อกำลังเข้าสู่ 20 นาทีสุดท้าย กลับมาเจอดีตามตีเจ๊า ได้แค่คะแนนเดียว พลาดทำอีก 2 หล่นข้าวทางไม่น่าเชื่อ
กระทั่งล่าสุดคราวนี้คาบ้าน แมนฯซิตี้บุกมายัดเยียดความพ่ายแพ้ ชนิดที่ต้องบอกเลยว่าวัดกันที่ความเด็ดขาดและคุณภาพนักเตะอย่างแท้จริง
สิ่งที่ต้องตามดูก็คือคิวเตะหลังจากนี้ หากกางโปรแกรมดูแล้วไม่ได้หนักหนาสาหัสอะไรหรอก แต่ในยามที่ล้มแล้วฟุบ ไม่ได้ฟื้นขึ้นมาทันควัน นี่แหล่ะเพิ่มความน่าสนใจเข้าให้อีก
นัดต่อไปต้องเล่นเกมเยือนรวดเลย บุกแอสตัน วิลล่าและเลสเตอร์ ด้วยเงื่อนไขห้ามพลาดเด็ดขาด เสมอก็ไม่ได้ เพราะไม่อย่างนั้นกดดันหนักกว่าเดิม
จากนั้นกลับมาเซิ้งในเอมิเรตส์ สเตเดี้ยม 2 เกมเช่นกัน เจอเอฟเวอร์ตันและบอร์นมัธ พิจารณาตามหน้าเสื่อ ยังไงก็ต้อง 6 แต้มเต็ม แบบที่ว่าไม่มีการต่อรอง
การขาดหายไปของ โธมัส ปาร์เตย์ เห็นเลยว่ากระทบแค่ไหน นี่คือเหตุผลที่ อาร์เตต้า พยายามจะดึง มอสเซส ไกเซโด้ มาจากไบรท์ตันให้ได้ แต่เมื่อไม่สำเร็จ ก็เลยต้องทาบทาม จอร์จินโญ่ มาแทน ซึ่งวิธีการเล่นก็แตกต่างกัน
ส่วนแนวรุกมีคู่ต่อสู้เริ่มจับทางได้มากขึ้น ยุทธศาสตร์โจมตีทางริมเส้นแบบสายฟ้าแลบ ไม่ค่อยได้ผลเท่าไรนัก โดนซ้อนสองบ้าง บางครั้งสาม เจอทีมมีวินัย มักสร้างอุปสรรคได้เสมอ
จากนี้ถือเป็นช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อของอาร์เซน่อลอย่างแท้จริง อาร์เตต้า เจอความท้าทายครั้งสำคัญสุดในอาชีพกุนซือแล้ว