ในวันที่ ปืนดวลผี กลับมามีความหมาย พรีเมียร์ลีกสุดสัปดาห์ที่กำลังจะเดินทางมาถึง ขอให้ทุกคนโฟกัสไปยังเอมิเรสต์ สเตเดี้ยม โดยต้องพูดแบบย้ำๆหลายรอบว่า ห้ามพลาดเป็นอันขาด
การเผชิญหน้ากันระหว่าง อาร์เซน่อลกับแมนฯยูไนเต็ด นาทีนี้ มันเหมือนทวนเข็มนาฬิกากลับไปยังช่วยปลายทศวรรษ 90 ที่ลากยาวมาจนถึงยุคมิลเลนเนี่ยมเลยทีเดียว
สมัยนั้นคือการดวลกันของสองบรมกุนซือ ผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุค เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กับ อาร์แซน เวนเกอร์ แบบดุเดือดเลือดพล่าน เป็นคู่กัดกันทั้งในและนอกสนาม
วิวาทะอันเผ็ดร้อน สาดใส่กันในแบบฉบับของตัวเอง อีกฝ่ายดุดัน อีกฝ่ายใช้ใบมีดโกนอาบน้ำผึ้งกรีดลึกลงไป พวกนักข่าวต่างชื่นชอบถูกใจ เพราะนำเสนอไปยังไงก็เรียกกระแสได้อย่างดี
ช่วงดังกล่าวหากจะบอกว่า นั่นคือโมงยามแห่งความเบ่งบานของพรีเมียร์ลีก คงไม่ได้เกินเลยจากความจริงไปนักหรอก
หลังจากนั้นบางสิ่งบางอย่างเริ่มเปลี่ยนไป การมาของ โรมัน อบราโมวิช ที่เข้าเทคโอเวอร์เชลซีต่อจาก เคน เบสต์ พร้อมทั้งหว่านโปรยฟ่อนธนบัตร ลงในตลาดซื้อขายอย่างบ้าคลั่ง น่าจะเป็นหนึ่งในจุดหักเหสำคัญ
เชลซีขึ้นมาพร้อมกับการก้าวลงของอาร์เซน่อล ซึ่งไร้งบประมาณที่จะต่อกรได้ พวกเขาเหลือพยายามแค่ รักษาสถานะพรีเมียร์ลีก เอาไว้ให้ได้เท่านั้นเอง
หนสุดท้ายที่อาร์เซน่อลครองแชมป์ลีก ต้องย้อนกลับไปฤดูกาล 2003/04 นับนิ้บวกกันแล้ว ปาเข้าไปเกือบ 20 ปี ไม่เคยได้สัมผัสอีกเลย ในระดับท็อปทีมยังไงก็ต้องบอกว่านานเหลือเกิน
หลังจากซีซั่นนั้น อาร์เซน่อลคว้าอันดับ 2 ได้เพียงแค่ 2 ครั้งเท่านั้นเอง ถือว่าน้อยมาก แม้ยังติดท็อปโฟร์อย่างต่อเนื่องก็ตาม
แต่พอสิ้นสุดซีซั่น 2015/16 มันน่ารันทดยิ่งกว่าอีก เดอะกันเนอร์สไม่เคยจบเหนือกว่าอันดับ 5 เลย ซึ่งก็แน่นอนว่า พวกเขาไม่ได้ร่วมสังฆกรรมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกมาตั้งแต่ปีนั้นแหล่ะ
ปืนดวลผี ที่ไร้กุนซือในตำนาน
อาร์เซน่อลแปรสภาพเป็นเพียงทีมไม้ประดับ คือแทบไม่ต้องพูดถึงการลุ้นแชมป์ โอกาสแทบจะมืดมิด เต็มที่จบด้วยท็อปโฟร์ก็เต็มกลืนแล้ว
หากเทียบกับ แมนฯยูไนเต็ด แล้วหนักหนากว่าอีก ปีศาจแดงซึ่งเคยเป็นอริสำคัญ ยังฉวัดเฉวียนเวียนวนได้ไปเล่นยูซีแอลบ้าง เข้าใกล้คำว่าพอมีลุ้นแชมป์บ้าง แตกต่างกันเลย
ซีซั่นที่แล้วปืนโตมีฮึด ลุ้นจนกระทั่งเข้าโค้งสุดท้าย แต่พอถึงเวลาหน้าสิ่งหน้าขวาน ก็สะดุดหัวแม่เท้าตัวเอง หลุดจากวงโคจรเช่นเคย อันดับ 5 ได้เพียงแค่ยูโรปา ลีกเท่านั้นเอง
ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า อาร์เซน่อลเก็บกดมากน้อยขนาดนั้น เหมือนรอเวลาพรั่งพรูระบายออกมารวดเดียวในซีซั่นนี้
มีการพูดถึงกันบ่อยๆกับการเปลี่ยนแปลงอย่างปุบปับ ชนิดเดอะ กูนเนอร์สทั้งหลายหรือ กลุ่มแฟนบอลของพวกเขา ยังตั้งตัวไม่ติดเลย เหตุการณ์มันเกิดขึ้นราวกับเทพนิยาย
แต่นั่นคือผลพวงจากการทำงานหนักของ มิเกล อาร์เตต้า ผู้จัดการทีม ซึ่งค่อยๆสร้างและแก้ไขไปพร้อมกัน จนก้าวมาถึงจุดที่ต้องบอกว่า ไม่มีใครคาดคิดว่าจะทำสำเร็จมาก่อน
ปัจจุบันอาร์เซน่อลผงาดนำจ่าฝูงพรีเมียร์ลีก ด้วยการตีกรรเชียงทิ้งแมนฯซิตี้แชมป์เก่า 8 คะแนน เมื่อครึ่งทางของฤดูกาลกำลังจะมาถึง
ซิตี้เองต่ำกว่ามาตรฐานด้วย แต่ในอีกด้านอาร์เซน่อล ก็ร้อนแรงเป็นไฟพะเนียง เกมรุกเหี้ยมเกรียมเกรี้ยวกราด จนยากที่จะมีใครหยุดได้
ที่น่าตะลึงไม่แพ้กันก็คือ ทีมชุดนี้อายุเฉลี่ยไม่ถึง 25 ปีด้วยซ้ำ เรียกว่าน้อยมากๆ ชัดเจนเลยว่าควรจะมี จุดอ่อนเรื่องประสบการณ์ ผ่านเสือสิงห์กระทิงแรดมาน้อย ซึ่งน่าจะกระทบต่อการลุ้นความสำเร็จ
บทความที่เกียวข้อง ใครบอกว่ามาเจอกันช้าไป ( ข่าวพรีเมียร์ลีก )
แต่ขอโทษทีนั่นไม่ใช่ทฤษฎี ตายตัวเสมอไปหรอก เพราะเห็นกันอยู่ว่า ทัพปืนโตแทบไม่มียวบเลย ยังคงยืนหยัดอย่างมั่นคง จนบรรดากูรูเกจิทั้งหลาย ชักไขว้เขวหรือว่าพวกเขาจะพร้อมสำหรับการกลับมาผงาดจริง
นอกจากนี้ช่วงตลาดมกราคม กำลังเปิดทำการ เป็นโอกาสดีสำหรับการเสริมทัพ ให้แน่นปึ้กยิ่งกว่าเดิม โดยเฉพาะแดนกลางกับแนวรุกที่ควรเพิ่มมิติอันหลากหลายเข้าไป
บอร์ดบริหารของอาร์เซน่อล ซึ่งตอนนี้ได้ จอช โครนเก้ มาดูแลเป็นเรื่องเป็นราวแทนที่ สแตน โครนเก้ ผู้เป็นพ่อ พร้อมสนับสนุนอย่างดี อัดฉีดกระสุ่นดินดำอย่างต่อเนื่อง
แต่อย่างที่บอกเอาไว้ พวกเขาต้องเจอด่านทดสอบ อันแข็งโป๊กในวันอาทิตย์นี้ อย่าลืมว่านัดแรกที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เป็นแมนฯยูไนเต็ดนี่แหล่ะที่พิชิตชัยมา 3-1 ด้วยการแลกหมัดกันบันเทิงเริงรมย์ เป็นกำไรของแฟนบอล
เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ หากต้องการมุ่งหน้าสู่แชมป์ และประกาศศักดาให้ทุกคนรู้ว่า พร้อมแล้วสำหรับการมีเอี่ยวเพื่อก้าวเป็นเบอร์ 1 ในฤดูกาลนี้ พวกเขาต้องเอาชนะแมนฯยูไนเต็ดให้ได้
ไม่ใช่แค่ 3 แต้มธรรมดา แต่คือ 3 แต้มที่ใหญ่กว่า ถือเป็นการตัดกำลังคู่แข่งหัวตาราง รวมทั้งเพิ่มความมั่นใจอีกเพียบด้วย
เพราะต้องไม่ลืมว่า พวกเขายังเหลือเจอแมนฯซิตี้แบบไปกลับ 2 นัดด้วยกัน หากแพ้เรียบหมด อันตรายจะมาเยือนอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
เกมวันอาทิตย์นี้อาจทำให้พวกเรา ได้ย้อนกลับไปซึมซับบรรยากาศในอดีตก็เป็นได้ เชื่อว่าทะลักจุดเดือดชัวร์
แม้วันนี้จะไม่มี เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน และ อาร์แซน เวนเกอร์ ก็ตามที
