หลายคนน่าจะผิดหวังไม่น้อย ที่เห็น ทีมชาติโมร็อกโก ยุติเส้นทางใน ฟุตบอลโลก2022 ครั้งนี้แค่รอบรองชนะเลิศ เหลือโอกาสแค่ชิงที่ 3 เท่านั้น
เพราะคาดหวังไว้ว่าจะได้เห็นปรากฏการณ์ใหม่ในเวิลด์ คัพ ไม่ใช่พวกทีมใหญ่จากยุโรปหรืออเมริกาใต้ผ่านเล่นนัดชิงเหมือนอย่างที่คุ้นเคยกัน
อีกทั้งโมร็อกโกโชว์ให้เห็นถึงความยอดเยี่ยม ทั้งเรื่องแท็คติกและคุณภาพผู้เล่น ไม่ใช่เอาแต่อุดแล้วสวนกลับหรือยื้อให้ถึงยิงจุดโทษ
แม้จะเข้าใจว่าการทะลุถึงรอบรองชนะเลิศ จะเขียนประวัติศาสตร์ใหม่ให้กับแอฟริกา เพราะเป็นชาติแรกของทวีปมาไกลสุด รวมทั้งเป็นชาติมุสลิมแรกเหมือนกัน แต่ก็อดเสียดายไม่ได้อยู่ดี
ทีมชาติโมร็อกโก จากทีมนอกสายตา ลุยถึงรอบรองชนะเลิศ
เอาเข้าจริงโมร็อกโกผ่านเข้ามาเล่นในรอบสุดท้ายฟุตบอลโลก โดยที่ไม่ได้อยู่ในสายตาของแฟนบอลเลย เชื่อว่าเต็มที่ก็แค่เข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายเท่านั้นแหล่ะ คงไปได้ไม่ไกลกว่านี้อีก
แม้พวกเขาจะเคยผ่านเข้ารอบมาแล้ว 4 ครั้ง ก่อนหน้าจะมาเล่นในสมัยที่ 5 ไม่ได้โนเนมในวงการลูกหนังระดับสูงสักเท่าไร
ประเด็นสำคัญอยู่ที่การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างปุบปับด้วย สหพันธ์ฟุตบอลแยกทางกับ วาฮิด ฮาลิลฮอดซิช กุนซือรุ่นใหญ่ชาวบอสเนียฯ ซึ่งเป็นผู้อยู่เบื้องหลังพาทีมผ่านเข้าสู่รอบสุดท้าย
นี่คือยอดกุนซือคนหนึ่ง ผ่านประสบการณ์มาอย่างชุ่มโชก ในระดับสโมสรเคยคุมปารีส แซงต์ แชร์กแมงและในทีมชาติก็ทำงานมาหมดหลายทวีป ไม่ว่าจะเป็นไอวอรี่ โคสต์ , แอลจีเรียหรือญี่ปุ่น
แต่ วาฮิด เป็นคนแข็งกร้าวมาก มีบุคลิกยอมหักไม่ยอมงอ เขาทำให้ผู้เล่นคนสำคัญอย่าง ฮาคีม ซิเย็ค ประกาศเลิกเล่นทีมชาติไปเลย จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงกุนซือ
สุดท้ายก่อนทัวร์นาเม้นต์เริ่มราว 2 เดือน ต้องเร่งแต่งตั้ง วาลิด เรกรากี มาทำหน้าที่แทน
ในแง่ของงานด้านโค้ช เรกรากี ถือว่าอ่อนเยาว์มากเลย เคยเป็นสต๊าฟฟ์ ทีมชาติโมร็อกโก มาก่อนก็จริง แต่ไม่ได้มีบทบทโดดเด่นนัก จากนั้นทำงานในลีกโมร็อกโก แล้วโยกไปคุมอัล ดูฮาอิลสโมสรในกาตาร์
เขามาสร้างชื่อในซีซั่นที่แล้วเมื่อพาวีดัด เอซี คว้าแชมป์ลีกสูงสุดของโมร็อกโกได้สำเร็จ รวมถึงปลุกปั้นแข้งโนเนมขึ้นมากลายเป็นจุดสนใจไม่น้อยเลย
อย่างไรก็ตาม เรกรากี ก็ยังโดนมองด้วยสายตาไม่น่าไว้วางใจเท่าไรนัก โดยเฉพาะเมื่อประกาศรายชื่อ 26 นักเตะออกมา มีพวกที่เล่นในลีกยุโรปไม่น้อยและติดทีมประจำโดนหั่นชื่อทิ้ง
ขณะเดียวกันดึงเอา 3 ผู้เล่นจากวีดัด เอสซีที่เคยร่วมงานกัน ติดสอยห้อยตามมาด้วย เลยถูกมองว่าอาศัยความสัมพันธ์ส่วนตัวมากกว่า
อย่างไรก็ตามเป็น เรกรากี นี่แหล่ะ ที่เกลี้ยกล่อมจน ซีเย็ค ดาวดังของทีมปัจจุบัน ที่หันหลังให้ทีมชาติ เปลี่ยนใจกลับมาติดธงอีกคำรบ
การได้ ซีเย็ค มาเติมแนวรุก แน่นอนว่าต้องเพิ่มพลังดุดันมากยิ่งขึ้นอีก เพราะนี่คือนักเตะที่ยิงมากสุดให้ทีมชาติในทีมชุดนี้แล้ว อีกทั้งค้าแข้งในสโมสรชั้นนำอย่างเชลซีด้วย
หลายฝ่ายมองว่า วาลิด เรกรากี มาแค่ชั่วคราว
แต่ เรกรากี ก็ได้รับการคาดหมายว่า น่าจะเป็นเพียงแค่กุนซือทำงานระยะสั้นเท่านั้นเอง เดี๋ยวพอจบฟุตบอลโลกสักพัก ค่อยไปหามือฉมังมารั้งบังเหียนใหม่ ต้องประเภทมีชื่อสักหน่อย
เขาโดนสื่อโมร็อกโกเรียกว่า “avocado head” หรือหัวอโวคาโด้ ตามลักษณ์ของศีรษะที่เลี่ยนเตียนคล้ายกับผลอโวคาโด้นั่นแหล่ะ
แต่ในอีกทางมันเป็นความหมายเชิงสัญลักษณ์ ว่าไม่ค่อยมีสมองสักเท่าไรนัก ผ่านประสบการณ์มาน้อย ต่อให้เป็นอดีตนักเตะทีมชาติก็เถอะ การทำงานมันแตกต่างกัน
ในวัย 47 ปี บวกด้วยแทบไม่มีเวลาเตรีมทีมเป็นเรื่องเป็นราวมากพอ โมร็อกโกจึงไม่ถูกคาดหวังสักเท่าไร
กระทั่งเล่นไปเล่นมากลายเป็นว่า จุดประกายความหวังอย่างน่าทึ่งมาก
พวกเขาประเดิมด้วยการเสมอโครเอเชียรองแชมป์เก่า 0-0 ด้วยการเล่นที่บางคนวิจารณ์ว่า เอาแต่อุด ถอยรถบัสมาจอดขวางสองคันเลย
แต่หากมองให้ดี เรกรากี ซึ่งรู้ถึงสภาพและศักยภาพนักเตะตน เล่นแบบรู้จักตัวเอง รวมทั้งจำต้องเน้นความรัดกุม ในฐานะที่เป็นทีมรอง ใครมันจะไปบ้าเปิดหน้าแลกด้วยล่ะ
จากนั้นมาถึงเกมสำคัญฝังเบลเยียม 2-0 อย่างสะใจไร้ข้อกังขา ตอกย้ำว่าที่ผ่านมาไม่ได้บังเอิญเลย โดยที่แข้งโมร็อกโกในทีมชุดนี้ มีหลายคนเกิดและโตที่เบลเยียม ตามครอบครัวอพยพมาตั้งรกรากด้วย
พวกเขาจึงรู้สึกดีแบบดับเบิ้ลกันเลยทีเดียว เพราะไปอาศัยอยู่ในประเทศอื่น มักไม่ต่างจากพลเมืองชั้นสองหรอก
ก่อนจะตบท้ายด้วยการเชือดแคนาดา 2-1 ตีตั๋วเข้ารอบสำเร็จ พร้อมกับโชว์ให้รู้เลยว่า ฟุตบอลในแบบฉบับโมร็อกโกครั้งนี้ มั่นคงแน่นอนมาก ยากจะเจาะเข้าไป
บทความที่เกี่ยวข้อง เส้นทางอันขรุขระของ ทีมสิงโตคำราม
เมื่อผ่านเข้ารอบน็อกเอาท์ นั่นหมายถึงว่าเกินเป้า นักเตะทุกคนเล่นบอลด้วยความสนุก ไม่มีอะไรจะเสีย เลยฝ่ามาได้ทั้งสเปนที่เอาชนะจากยิงจุดโทษและล้มโปรตุเกสต่อเนื่อง
ผู้เล่นอย่าง โซฟียาน อัมราบัต ที่ก่อนหน้าแทบไม่รู้จัก บางคนยังคิดว่านี่คือ นอร์ดิน อัมราบัต พี่ชายของเขาด้วยซ้ำ ฉายแสงแรงกล้าเจิดจ้ามากๆ เช่นเดียวกับ อัซเซดีน อูนาฮี มิดฟิลด์ดาวรุ่งที่เป็นสองห้องเครื่องสำคัญ
นั่นยังต้องรวมถึง อัชราฟ ฮาคิมี่ , ฮาคิม ซิเย็ค , โรแม็ง ซาอิส และ โซฟียาน บูฟาล เข้าไปอีก โมร็อกโกขบวนนี้จึงแกร่งกว่าที่หลายคนเคยมองข้ามหัวไป
จากที่เป็นแค่ไม้ประดับ แต่ตอนนี้พวกเขาประกาศศักดาให้โลกต้องจดจำไว้ว่า อย่ากาชื่อโมร็อกโกอีกต่อไป
เพราะฟุตบอลโลก 2022 พวกเขาไม่ได้มาแค่เล่นๆ