สิ่งที่หลายคนไม่คาดคิดเกิดขึ้นใน ฟุตบอลโลก2022 ครั้งนี้แล้ว เมื่อ โมร็อกโก หักด่านผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศอย่างน่าทึ่งที่สุด
พวกเขาเขียนประวัติศาสตร์ใหม่ได้สำเร็จ เป็นชาติแรกจากทวีปแอฟริกาที่เดินมาไกลสุดๆในเวิลด์ คัพ หลังจากก่อนหน้าแค่รอบควอเตอร์ไฟนั่ลทั้งหมด 3 ครั้ง
แคเมอรูนในปี 1990 , เซเนกัลในปี 2002 และกานาในปี 2014 พวกเขาเหล่านี้แค่เฉียดฉิวเข้าตัดเชือก สร้างความประทับใจให้แฟนบอลทั่วโลก แต่ในอีกด้านมันเป็นเหมือนปมทางความรู้สึก
เพราะนี่คือทวีปเป็นแหล่งผลิตนักเตะชั้นนำมากมาย มีหลายคนได้ไปค้าแข้งยังสโมสรใหญ่ในยุโรป มีทั้งชื่อเสียงและเงินทอง ทว่ายามกลับมารับใช้ชาติกลับไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่ควรจะเป็น
ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการเตรียมความพร้อมต่างๆ รวมถึงแรงสนับสนุนจากภาครัฐ ไม่ว่าอย่างไรงบประมาณก็เป็นรองชาติจากยุโรปหรือแม้กระทั่งเอเชีย ซึ่งเป็นเรื่องเข้าใจได้ไม่ยากเลย
ชาติจากแอฟริกา จึงมักเป็นม้านอกสายตาอยู่เสมอ แทบไม่มีใครเชื่อว่าจะสร้างแรงกระเพื่อมได้ นอกจากปัดป้ายสีสันเสริมบรรยากาศเท่านั้นเอง
อย่างไรก็ตามโมร็อกโกไม่ได้ตั้งเป้าแค่มาร่วมโม่แข้ง เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของกาตาร์ 2022 เท่านั้น แต่ต้องการเขย่าวงการ บันทึกประวัติศาสตร์เลย
สิ่งที่เราต้องรู้คือ โมร็อกโกเป็นประเทศจากแอฟริกก็จริง แต่มีสภาพเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งมากๆ มีการอัดฉีดและได้น้ำเลี้ยงอย่างดี
โมร็อกโกเคยเป็นตัวแทนแอฟริกา เสนอตัวเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกตั้งแต่ปี 1994 , 1998 , 2006 และ 2010 ทว่ายังไม่มีศักยภาพดีพอที่จะจัดการแข่งขันได้ ในสายตาของคณะกรรมฟีฟ่า ซึ่งเป็นฝ่ายสรรหาและพิจารณา
คือถ้าไม่มีเงินมากพอ คงไม่กล้าเสนอตัวอย่างเด็ดขาด ฟุตบอลโลก 2026 พวกเขาก็เสนอตัวอีกครั้ง แต่สุดท้ายก็แพ้ให้กับ 3 เจ้าภาพร่วมแห่งคอนคาเคฟคือแคนาดา , สหรัฐฯและเม็กซิโกอย่างน่าเสียดาย
ดังนั้นงบประมาณจึงไม่ใช่ปัญหาและสหพันธ์ฟุตบอล ยินดีให้นำเงินส่วนแบ่งจากฟีฟ่าไปใช้จ่ายและแบ่งนักเตะได้เลย ไม่คิดจะนำเข้ากระเป๋าตัวเองเหมือนอย่างอีกหลายชาติ
เหล่าขุนพล โมร็อกโก มีแต่คนคุณภาพ
ในขณะเดียวกันบรรดาขุนพลโมร็อกโกชุดนี้ มีถึง 26 คนที่เกิดในต่างแดน ส่วนใหญ่เป็นฝั่งยุโรปตะวันตกที่มีระบบฟุตบอลลีกที่แข็งแกร่ง มีอะคาเดมี่คุณภาพมากมาย
หลายคนเกิดที่เบลเยียม , เนเธอร์แลนด์ , ฝรั่งเศสและอิตาลี บางรายเกิดที่แคนาดาด้วยอย่าง ยาสซีน โบโน่ แล้วย้ายกลับมาโมร็อกโกตอนอายุไม่กี่ขวบ เพราะพ่อแม่ไปทำงานที่นั่น
มีอยู่ 2 คนเกิดที่สเปนคือ อัชราฟ ฮาคิมี่ แบ็กขวาคนดังจากปารีส แซงต์ แชร์กแมงและ มูเนียร์ มูอาเมดี้ ผู้รักษาประตูมือ 2
ส่วน อิลิอัส แชร์ , เซลิม อมาลลาห์ , ไบลาล เอล คานนูส และ อนาสส์ ซารูรี เกิดที่เบลเยียมทั้งสิ้น
ในขณะเดียวกัน ฮาคิม ซิเย็ค , นูสเซียร์ มาสราอุย , โซฟียาน อัมราบัต และ ซาคาเรีย อบูคาลัล ถิ่นกำเนิดคือเนเธอร์แลนด์
ผู้เล่นเหล่านี้ได้เข้าอะคาเดมี่ซึ่งมีคุณภาพมาตั้งแต่อายุยังน้อย เรียนรู้พัฒนาฝึกฝนวิชาลูกหนังจนแกร่งกล้าสามารถ
พวกเขาจึงไม่ได้แตกต่างจากพวกแข้งยุโรปทั่วไปเลย ถ้าจะต่างกันก็ตรงที่ การเลือกรับใช้ทีมชาติเท่านั้นเอง
บทความที่เกี่ยวข้อง ตราไก่กับเดิมพันใหญ่ป้องกันแชมป์ ( ฝรั่งเศส )
ฮาคิมี่ ขุนศึกผู้ทำเพื่อทีมชาติอย่างแท้จริง
บางคนอย่าง ฮาคิมี่ มีโอกาสจะเลือกเล่นให้สเปนได้ตั้งแต่ในระดับเยาวชน ทว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่ต้องการเลย เขาอยากรับใช้โมร็อกโกเพื่อตอบแทนพ่อแม่มากกว่า
อีกทั้งชีวิตในสเปนก็ไม่ได้สะดวกสบายอะไรนัก ต้องอดทนสู้ปากกัดตีนถีบ แม่เป็นเพียงพนักงานทำความสะอาดตามบ้านของพวกเศรษฐีมีเงินหรือไม่ก็ออฟฟิศต่างๆ
พ่อเปิดแผงขายของริมถนน ต้องลุ้นทุกวันว่าจะมีกำไรมากพอสำหรับใช้จ่ายหรือเปล่า
เราจึงได้เห็นภาพ ฮาคิมี่ ปีนขึ้นไปบนอัฒจันทร์ หลังเกมที่โมร็อกโกคว้าชัย ก่อนจะกอดแน่นๆแล้วจุมพิตด้วยความรักอย่างแท้จริง
ทีนี้นึกภาพรอบรองชนะเลิศ ซึ่งพวกเขาจะได้ดวลกับฝรั่งเศส ซึ่งนี่คือเจ้าอาณานิคมในอดีต เคยโดนยึดครองมาก่อน แล้วมาได้รับเอกราชในทศวรรษ 50 ดูสิ
มันมีสตอรี่ที่น่าติดตามอย่างมากเลย เพราะกุนซือของโมร็อกโกคือ วาลิด เรกรากี ก็เกิดที่ฝรั่งเศสด้วย เติบโตและใช้ชีวิตที่นั่น แต่ก็ไม่เคยลืมรากเหล้าตัวเอง
โรแม็ง ซาอิส กัปตันทีมก็เกิดที่ฝรั่งเศสด้วย ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยหากนักเตะหลายคนต้องการจะเผชิญหน้ากับเลส์เบลอส์ โดยที่ไม่มีอะไรต้องกลัวอีกต่อไป
พวกเขาอาจจะเคยเป็นลูกไล่ ตกอยู่ภายใต้อำนาจการปกครองของฝรั่งเศส แต่นั่นมันคืออดีตไปแล้ว สิ่งที่ควรให้ความสำคัญมากสุดคือปัจจุบันต่างหาก
สำหรับโมร็อกโกแล้ว การเดินทางไกลมาถึงรอบรองชนะเลิศ ดูเหมือนว่าเกินฝันและความคาดหมายมากๆแล้ว ไม่มีอะไรต้องเสียใจหากว่าหยุดเส้นทางเพียงเท่านี้
อย่างไรก็ตามมันไม่ผิดเลยเช่นกันที่นักเตะและชาวโมร็อกโกทั้งประเทศหรือที่อาศัยอยู่ที่ไหนก็ตาม จะตั้งความหวังไว้สูงถึงขั้นครองแชมป์โลก เมื่อมาถึงขนาดนี้ ไม่มีอะไรต้องครั่นคร้ามอีกต่อไป
อย่าลืมว่าในโลกฟุตบอลอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น นี่คือเกมที่พลิกผันได้ตลอดเวลา เรามักได้เห็นความมหัศจรรย์บนผืนหญ้าอยู่บ่อยๆ
วันที่ 18 ธันวาคมนี้ หากจะได้ยินเสียงประกาศเดอะ วินเนอร์ อิส โมร็อกโก ก็อย่าได้ประหลาดใจกันไป
พวกเขาพร้อมแล้วเพื่อที่จะไปถึงจุดนั้น