ตำนานลุ่มแม่น้ำโขงเล่าสืบต่อกันมาช้านาน ในเรื่องคำสาปเมือง เวียงจันทน์ นั่นก็หมายความว่า ตำนานเกี่ยวกับเรื่องนี้ ถูกเล่าขานผ่านดินแดนทั้งฝั่งซ้าย ฝั่งขวาของลำน้ำโขง และยังเป็นตำนานฝั่งกัมพูชา อีกด้วย นั่นจึงทำให้เรื่องราวรายละเอียดบางอย่างเกี่ยวกับคำสาปเวียงจันทน์ต่างกันเล็กน้อย
แต่เรื่องคำสาปนั้น เล่าตรงกันว่า ถ้าหากไม่ทำให้เมืองศรีโครตะบอง เจริญขึ้นมาได้ เมืองเวียงจันทน์ก็อย่าได้เจริญรุ่งเรือง แต่ถึงแม้จะรุ่งเรืองขึ้นได้ก็แค่ชั่วคราวประเดี๋ยวประดาว อย่างที่ว่า “แค่ช้างพับหู แค่งูแลบลิ้น” หลับตาจินตนาการดูชั่วเวลารุ่งเรืองก็น่าจะแค่กระพริบตา ประมาณนั้น
อะไรที่ทำให้คนสาปแช่งโกรธแค้นเมืองเวียงจันทน์ขนาดนั้น ถึงได้สาปให้เวียงจันทน์แทบไม่ได้ผุดได้เกิด
เรื่องเล่า คำสาปพันปีเมือง เวียงจันทน์ ตามตำนาน
ตำนานเล่ากันมาว่า ในอดีตนั้นมีครอบครัวยากจนครอบครัวหนึ่ง มีลูกชายชื่อ ท้าวศรี เป็นคนจิตใจดีแถมฉลาด พออายุได้ 10 ขวบ พ่อแม่ เห็นแววลูก เลยให้ไปบวชเณร จะได้ร่ำเรียนศึกษาเพื่อความก้าวหน้าในอนาคต
แต่พอบวชเรียนจนได้อายุ 18 ปี ก็ลาสิกขากลับมาดูแลพ่อแม่ ที่นับวันก็แก่ชรา ก็เลยได้ชื่อว่า ท้าวเซียงศรี (สามเณรสึกออกมาจะเพิ่มคำว่า เซียง นำหน้าชื่อ เหมือนของไทย ที่จะเรียกผู้ที่สึกจากพระว่า ทิด นำหน้าชื่อ)
แต่พอมาอยู่บ้าน พ่อแม่ ก็เห็นว่าลูกบวชเรียนมา น่าจะมีอนาคตมากกว่านี้ ก็เลยเอาไปฝากเป็นข้ารับใช้ไว้ที่เรือนของ พระยา เพื่อให้เป็นข้ารับใช้ และที่เรือนของพระยา จะมีข้ารับใช้จำนวนมาก ทำหน้าที่เข้าป่าตัดหญ้ามาเลี้ยงช้าง เลี้ยงม้า แต่เมื่อท้าวเซียงศรี มาช่วยงาน ก็ได้รับมอบหมายให้เป็นพ่อครัว ดูแลเรื่องอาหารการกินให้กับคนงาน
มีอยู่วันหนี่งท้าวเซียงศรี นึ่งข้าวเหนียว ใส่หวดขนาดใหญ่ แต่เมื่อถึงเวลาจะต้องกลับข้าวจากด้านล่างขึ้นข้างบน เพื่อให้ข้าวด้านบนได้รับความร้อนจากไอน้ำก็จะสุกพอดีกัน แต่ท้าวเซียงศรี ดันลืมเอาไม้คนข้าวมา เมื่อคว้ามีดได้ ก็เข้าไปในป่าเพื่อตัดไม้มาคนข้าว ก็เหลือบไปเห็นตอไม้สีดำ มีกิ่งงอกออกคล้ายแขนคน ก็เลยตัดเอากิ่งไม้นั้นมาคนข้าว
เจ้ากรรม พอเอาไม้สีดำนั้นคนลงไปโดนข้าวเหนียว ถูกตรงไหน ข้าวก็ดำตรงนั้น ท้าวเซียงศรีก็ตกใจ ไม่รู้ทำยังไง ก็เลยพยายามกอบเอาข้าวเหนียวสีดำนั้นออกไปไว้ต่างหาก ส่วนที่ไหลือก็นึ่งไปจนสุกตามปกติ แต่พอสุก ปัญหาใหม่ก็ตามมา เพราะข้าวหายไป ทำให้ไม่พอกิน ท้าวเซียงศรี ก็เลยเอาข้าวดำนั้นมากินเองจนหมด
ตรงนี้บางตำนานบอกว่า ท้าวเซียงศรี เอาไม้คนข้าวเป็นสีดำ ตั้งแต่บวชเป็นเณร สมภาร มาเห็นก็โมโห สั่งให้เณรศรี กินข้าวดำนั้นให้หมด แต่ถึงจะต่างกัน สรุปความก็คือ กินข้าวเหนียวดำนั้นหมดเหมือนกัน
แต่หลังจากกินข้าวดำหมด ก็รู้สึกว่า ร่างกายแข็งแรงขึ้นอย่างแปลกประหลาด ทดลองหักกิ่งไม้ขนาดใหญ่ก็หักได้โดยง่าย ลองผลักไม้ใหญ่เบาๆ ไม้ใหญ่ก็ล้มลงโดยง่าย พอทำได้แบบนั้นเลยได้ใจ ท้าวเซียงศรี
เลยคิดจะแกล้งเพื่อนคนงาน โน้มเอายอดยางใหญ่ลงมา แล้วเอากระติ๊บข้าวเหนียวไปผูกไว้ แล้วปล่อยยอดยางดีดกลับไปดังเดิม พอเพื่อนคนงานมา ก็มองหากระติ๊บข้าวไม่เจอ ท้างเซียงศรี ล้อเล่นกับเพื่อนจนสมใจแล้ว ก็โน้นเอากิ่งยางใหญ่ลงมา หยิบกระติ๊บข้าวเหนียวส่งให้เพื่อนคนงาน แต่เพื่อนคนงานไม่สนุกด้วย นำความไปฟ้องพระยา ว่าท้าวเซียงศรี เล่นแบบนี้
พระยา พอรู้เรื่อง เลยอยากทดสอบว่า ท้าวเซียงศรี เก่งกาจจริงหรือเปล่า เลยพาไปจับช้างป่า แต่พอเจอกับช้าวป่า ท้าวเซียงศรี ก็เข้าไปจับมาให้อย่างง่ายดายด้วยมือเปล่า พระยา ได้เห็นก็กลัว เพราะคิดว่า ท้าวเซียงศรี ไม่น่าจะเป็นคนธรรมดา
เลยส่งข่าวไปหาเจ้านครเวียงจันทน์ แต่เวลานั้น นครเวียงจันทน์ กำลังถูกฝูงช้างป่านับล้านตัวเข้าทำลายบ้านเรือนประชาชนอยู่ (น่าจะเป็นที่มาของล้านช้าง) ท้าวเซียงศรี รู้ข่าวนี้ ก็อาสาไปปราบช้าง พระยา ก็อนุญาตให้ไป
แต่ก่อนไป ท้าวเซียงศรี ก็เข้าป่า ไปตัดเอาไม้สีดำที่ว่านั้น เอามาทำเป็นตะบองสีดำขนาดใหญ่ไปด้วย (บางตำนานบอกว่า ท้าวเซียงศรี หรือ ท้าวศรี มีตะบองเพชร)
บทความที่เกี่ยวข้อง สมเด็จ ลุน หรือ สำเร็จลุน เทพเจ้าแห่งจำปาศักดิ์
ปราบพญาช้างได้ จึงเป็นใหญ่
ปรากฏว่า ท้าวเซียงศรี จับพญาช้างสาร ฆ่าตาย ช้างที่เหลือก็หลบหนีเข้าป่า เจ้านครเวียงจันทน์ ก็เลนยก นางเขียวข่อม ธิดาสาวให้ท้าวเซียงศรี (บางตำนานบอกว่า เจ้านครเวียงจันทน์ประกาศแต่แรกว่า ใครปราบช้างได้จะยกลูกสาวให้) พร้อมกับสถาปนาท้าวเซียงศรีให้เป็นท้าวศรีโตรตะบอง แล้วตั้งเมืองเกิดของท้าวเซียงศรีเป็นเมืองศรีโคตรตะบอง พร้อมไล่พระยา คนเก่าออกตั้งท้าวเซียงศรีขึ้นแทน
โดนปลดกลางอากาศแบบนี้ ก็สร้างความคับแค้นให้กับพระยา คนเก่า ก็ไปให้ข่าวยุแยง พระยาเมืองต่างๆ ว่า พระยาศรีโคตรตะบองกำลังซ่องสุมไพร่พลเพื่อเข้าตีเวียงจันทน์ ความก็รู้ถึงหูเจ้านครเวียงจันทน์ หนักเข้าก็เกิดความระแวง ว่าจะทำอย่างไรดี พระยาศรีโคตรตะบองนั้น แข็งแกร่ง ยิงฟันไม่เข้า เกิดคิดคดมาตีเวียงจันทน์แล้วจะทำอย่างไร
ก็เลยเรียกลูกสาวมาถามว่า พระยาศรีโคตรตะบองนั้นมีจุดอ่อนตรงไหน จะได้คิดหาทางป้องกัน ลูกสาวก็พาซื่อ ไปถามผัวพร้อมกับบอกว่า จะได้หาทางป้องกัน ฝ่ายพระยาศรีโคตรตะบอง ก็คิดว่า เมียรัก เลยบอกไปว่า หากโดนหอกแทงเข้าที่รูทวาร ก็คงต้องตาย
นางเขียวข่อม พอได้รู้ความลับผัวก็กลับไปบอกพ่อ เจ้านครเวียงจันทน์ ก็เลยออกอุบายชวนลูกเขยมากินข้าวที่วัง และสร้างส้วมไว้ให้เป็นการเฉพาะ เพราะติดตั้งหอกยนต์ประมาณว่า หย่อนปุ๊บพุ่งขึ้นเสียบปั๊บ เมื่อกินข้าวอิ่มหนำสำราญ ก็เป็นไปตามที่เจ้านครเวียงจันทน์คิด พระยาศรีโคตรตะบอง ขอเข้าห้องน้ำ ก็เลยประสบชะตากรรมดังที่พ่อตาวางแผน
พระยาศรีโคตรตะบองถูกหอกแทง ก็ไม่ตายทันที ร่ายมนต์สาปแช่งเมืองเวียงจันทน์ล้านช้าง อย่าให้มีความรุ่งเรือง เพราะคนไม่มีศีลมีธรรมอยู่ครองบ้านครองเมือง ขนาดมาปราบช้างให้ ก็ยังคิดหาอุบายลอบฆ่าได้ลงคอ หากจะเจริญก็ให้แค่ช่วงเวลาช้างพับหู งูแลบลิ้น จะพ้นคำสาปก็ต่อเมื่อเมืองศรีโคตรตะบองได้เจริญรุ่งเรือง มีหินฟูขึ้นเหนือน้ำโขง ให้โขลงช้างเผือก งูใหญ่ปรากฏ
ดินแดนล้านช้างตกอยู่ในคำสาปมานาน กระทั่งปัจจุบัน ชาวลาวเชื่อว่า คำสาปนั้นได้มลายไปแล้ว หลังมีสะพานมิตรภาพไทย-ลาว เพราะเปรียบเสมือนหินฟูเหนือน้ำ โขลงช้างเผือกนั้น ชาวลาวเชื่อว่าหมายถึงชาวต่างชาติที่เข้าไปลงทุนใน สปป.ลาว ส่วนงูใหญ่นั้น น่าจะเป็นรถไฟที่เชื่อจากจีนผ่านลาวมายังประเทศไทย