หลุยส์ ฟานกัล เข้ามารับงานคุมทีมชาติเนเธอร์แลนด์เมื่อสิงหาคม 2021 เป็นการหวนคืนสู่เก้าอี้ตัวนี้ครบสามแล้ว
หลังผ่านมา 2 ครั้ง ยังดูเหมือนว่าไม่สุดทาง โดยเฉพาะในปี 2014 สามารถนำขุนพลอัศวินสีส้มทะลุเข้าถึงรอบรองชนะเลิศเวิลด์ คัพฉบับแซมบ้าได้สำเร็จ แต่น่าเสียดายไม่ได้เข้าชิง
มันอาจเป็นปมอย่างหนึ่งทำให้ ฟานกัล ตัดสินใจรับงานนี้ ทั้งที่ร้างเวทีไปตั้งแต่ปี 2016 นับตั้งแต่โดนแมนฯยูไนเต็ดปลดจากตำแหน่งผู้จัดการทีม
จริงๆแล้วการห่างหายไปจากวงการถึง 5 ปี สนิมน่าจะเกาะเป็นธรรมดา รวมถึงวัยที่โรยราลงไปมาก ตอนเซ็นสัญญากุมบังเหียนดัตช์อายุ 70 เข้าไปแล้ว ด้วยอายุขนาดนี้ น่าจะอยู่ในช่วงขาลงมากกว่า
ซ้ำร้ายกว่านั้นคือ เพิ่งมารู้ภายหลัง ฟานกัล ต้องต่อสู้กับมะเร็งที่ต่อมลูกหมากในระยะลุกลาม โดยที่ตัวเขาต้องทำการฉายรังสีทั้งสิ้น 25 ครั้ง คิดว่ามันหนักหนาแค่ไหน
เขาบรรยายความรู้สึกและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงเมษายนที่ผ่านมา เรื่องถูกเก็บงำมายาวนาน ชนิดไม่เคยไม่ใครล่วงรู้มาก่อน ถ้าไม่ใช่คนใกล้ตัวหรือในครอบครัว
“ช่วงที่คุมทีมชาติ ผมต้องออกจากที่พักเพื่อไปโรงพยาบาล ไม่มีใครรู้หรอก พวกนักเตะก็เช่นกัน จนกระทั่งวันนี้”
“ผมเชื่อว่าคุณไม่ต้องการบอกเรื่องอย่างนี้กับเพื่อนร่วมงาน มันย่อมส่งผลต่ออารมณ์ความรู้สีก เราควรเก็บไว้ดีกว่า”
“คุณจะไม่เสียชีวิตจากมะเร็งต่อมลูกหมาก อย่างน้อยคิดเป็น 90 เปอร์เซ็นต์ของผู้ป่วย การเสียชีวิตมักจะมาจากโรคประจำตัว”
“แต่มะเร็งในตัวผมถือว่ารุนแรงเลย ต้องฉายรังสี 25 ครั้ง ในขณะที่คุณยังต้องทำงานเพื่อขับเคลื่อนกันต่อไป
“ผมได้รับการปฏิบัติอย่างดีมากๆที่โรงพยาบาล ผมได้เข้าทางประตูหลังไม่ให้ใครเห็น จากนั้นก็ส่งตัวไปยังอีกห้อง”
“แพทย์ดูแลผมอย่างดี จนแทบไม่มีใครดูออกเลยว่าผมป่วย มันเป็นเรื่องเยี่ยมมาก”
อาการป่วยของ หลุยส์ ฟานกัล ไม่ใช่ปัญหาของการคุมทีม
ตอนนี้อาการของ ฟานกัล คงที่แล้ว ไม่มีผลกระทบข้างเคียงจากการฉายแสงถึง 25 ครั้ง ว่าไปมันน่าอัศจรรย์มากๆ สำหรับคนวัย 71 ปี ที่ต้องอึดทนทานขนาดไหนเพื่อรับมือกับความร้อนที่ถูกสาดเข้าร่างกาย
อีกทั้งรักษาแต่ละครั้ง ก็ต้องใช้เวลาพักฟื้นนานพอสมควร แต่ดูเหมือนว่าอดีตกุนซือแมนฯยูไนเต็ด แทบไม่ต้องเบรกเลย ทำงานได้อย่างเต็มที่
พอหลายคนรู้ข่าวเข้าก็มาร่วมให้กำลังใจและอวยพรขอให้ ฟานกัล ผ่านวิกฤตครั้งนี้ สู้กับโรคร้ายและเป็นฝ่ายชนะ
นักเตะบางคนเริ่มกังวลและเป็นห่วงเจ้านาย แต่เขาย้ำว่าให้ทำหน้าที่กันต่อไป อย่าลดความมุ่งมั่นพยายามเด็ดขาด มีภารกิจสำคัญรออยู่ข้างหน้า หากอ่อนแอเมื่อไร นั่นหมายความว่าจบเห่กันพอดี
ในขณะที่ครอบครัวก็ยินดีสนับสนุน แม้ลึกลงไปจะวิตกอยู่บ้าง กลัวว่าอาการป่วยจะทรุด
แต่สิ่งหนึ่งที่ใช้ฟาดฟันกับโรคมะเร็งร้ายอย่างดี คือสภาพจิตใจอันแข็งแกร่ง หากเราคอนโทรลอารมณ์ตัวเอง พร้อมจะรับมือได้ ไม่เครียดจนเกินไป ก็น่าจะรับมือได้ตามปกติ
อย่างไรก็ตามงานกุนซือในลักษณะนี้ แถมยังพาทีมชาติมาเล่นฟุตบอลโลกอีก มันยากที่จะหนีความเครียดได้พ้น
จะสังเกตุได้ว่า 3 เกมในรอบแรก กุนซือร่างใหญ่เลือกที่จะนั่งนิ่งที่ข้างสนาม ไม่ออกมายืนหรือมีปฏิกิริยาที่บ่งบอกว่าหงุดหงิดหัวเสียเท่าไรนัก
ปล่อยให้ทีมงานจัดการซะมากกว่า เพราะข้างกายมีมือดีทั้ง แดนนี่ บลินด์ พ่อของ เดเล่ย์ บลินด์ และ เอ็ดการ์ ดาวิดส์ คอยประกบช่วยงานอย่างเต็มที่ เรียกใช้งานได้ตลอดเวลา
บารมีและความเก่งกาจของเขาเป็นที่ยอมรับอยู่แล้ว นักเตะในทีมก็เชื่อฟังเป็นอย่างดี แม้ปูมหลังเรื่องอคติกับผู้เล่นที่มาจากอเมริกาใต้ ยังเป็นที่พูดถึงถกเถียงกันก็ตาม
บทความที่เกี่ยวข้อง ฟีฟ่าระส่ำ การเมืองโคตรโหด
โชว์ความเก๋าเกมให้ทุกคนได้เห็น
ย้อนกลับไปก้าวแรกในรอบที่ 3 ของการรีเทิร์น ฟานกัล ประเดิมด้วยการคุมเล่นรอบคัดเลือกเวิลด์ คัพ บุกไปเยือนนอร์เวย์ ก่อนจบลงด้วยผลเสมอ 1-1
แล้วก็เครื่องร้อนคว้าชัย 4 นัดรวด ทั้งถล่มมอนเตเนโกร 4-0 ไล่รัวตุรกีกับยิบรอลต้าร์อีกทีมละครึ่งโหล โชว์พลังรุกที่โหดเหี้ยมดุดันให้เห็น ก่อนเข้ารอบสุดท้ายใสสะอาด ไม่ต้องลุ้นให้เสียวหัวใจ
นอกจากนี้ในศึกยูฟ่า เนชั่นส์ ลีกก็ร้อนเรงอีก แมตช์ที่สร้างความประทับใจให้แฟนๆก็คือบุกต้อนเบลเยียม 4-1 รวมถึงเกมสุดระทึกเข่นเวลส์ 3-2
ระหว่างที่คุมทีมนั่นเอง ยังต้องต่อสู้กับอาการเจ็บป่วยจากมะเร็งต่อมลูกหมากในระยะลุกลาม
หากเป็นคนอื่นคงล่าถอย ขอไปรักษาเยียวยาก่อน ตัดสินใจลุกจากเก้าอี้ แต่สำหรับ ฟานกัล ไม่มียอมแพ้เลย ดึงดันมั่นใจต้องการไปต่อ ยังมีงานให้ต้องสะสาง อย่างน้อยก็ขอทำให้สำเร็จก่อนในชีวิตนี้
เราจึงได้เห็น ฟานกัล ที่กาตาร์ แม้จะไม่ค่อยมั่นใจนัก เพราะคุณภาพโดยรวมผู้เล่นดัตช์ใช่ว่าจะดีสักเท่าไร
อย่างไรก็ตามผลจับสลากถือว่าเป็นใจ ไม่ได้เจอคู่แข่งที่แกร่งเท่าไรนัก กาตาร์เจ้าภาพ , เอกวาดอร์และเซเนกัล ถือว่าพอรับไหวอยู่
นอกจากโชคแล้ว ทัพดัตช์ยังมีความสามารถมากพอ จากสามนัดในรอบแบ่งกลุ่ม เก็บไปทั้งสิ้น 7 คะแนน ยึดอันดับ 1 อย่างสบายๆ แถมได้ผ่านไปชนสหรัฐอเมริกาในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ซึ่งเชื่อกันว่าโอกาสจะเป็นของเนเธอร์แลนด์มากกว่า สำหรับการคว้าตั๋วสู่ควอเตอร์ไฟนั่ล
น่าคิดเหมือนกันหาก ฟานกัล พาทีมไปสุดฝันนั่นคือแชมป์โลก เรื่องราวของเขาคงถูกเล่าขานโจษจันไปอีกยาวนานแน่นอน
ในโลกฟุตบอลอะไรก็ย่อมเกิดขึ้นได้ทั้งนั้นและไม่ใช่เรื่องแปลกหากเนเธอร์แลนด์จะสร้างประวัติศาสตร์ได้