เมื่อกล่าวถึง พระอริยะสงฆ์ในฝั่งลาวแล้ว หลายคนคงจะนึกถึงชื่อ ราชครูโพนสะเม็ก ซึ่งเป็นผู้ที่มากับตำนานการสร้างพระธาตุนครพนม แต่ที่ สปป.ลาวยังมีเรื่องราวปาฏิหาริย์มหัศจรรย์จากพระอริยะสงฆ์ ที่ชนชาวลาวต่างยกย่องให้เป็นผู้ที่สำเร็จขั้นสูงสุดของอภิญญาที่ชื่อ สมเด็จ ลุน หรือ สำเร็จลุน แห่งนครจำปาศักดิ์
คำว่าสำเร็จนั้น ว่ากันตามศักดิ์ของพระในลาวก็คือขั้นสูงสุด ชาวลาวจะเรียกพระตามลำดับว่า ยาคู ยาซา ยาท่าน สําเร็จ แต่ไม่มีพระองค์ไหนได้ถึงขั้น สําเร็จ มาก่อน แต่ด้วยวัตรปฏิบัตรและอิทธิฤทธิ์อภินิหารย์ ชาวลาวจึงยกให้เป็น สำเร็จลุน
เรื่องเล่า สมเด็จ ลุน หรือ สำเร็จลุน ประลองวิชากับ หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า
มีเรื่องเล่าว่า สมเด็จลุน หรือ สมเด็จ ลุน เคยมาหาและลองวิชากับ หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ผู้เป็นอาจารย์ของสมเด็จกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ด้วย แจ้งว่า อยากรู้ว่า หลวงปู่ศุข เก่งดังคำร่ำลือหรือไม่ หลวงปู่ศุข รูดเอาใบมะขามเสกเป็นต่อแตนพุ่งเข้าใส่สำเร็จลุน แต่ต่อแตนเหล่านั้น กลับบินเข้าไปอยู่ในมือของสำเร็จลุน และกลายเป็นใบมะขามดังเดิม
มีการพูดถึง สำเร็จลุน ทั้งฝั่งไทยและฝั่งลาวว่า ท่านเกิดที่บ้านหนองไฮท่า ตำบลเวินไซ เมืองโพนทอง แขวงจำปาศักดิ์ สปป.ลาว พ่อแม่พาไปบวชเป็นเณรตั้งแต่อายุ 12 ปี
พระครูผ่อง สะมาเล็ก
ซึ่งเคยไปจำพรรษาที่วัดเวินไซ เมื่อครั้ง สำเร็จลุน ยังมีชีวิตอยู่ บันทึกไว้ว่า เณรลุน ตอนที่บวชแรกๆ นั้น ไม่ค่อยมีใครเห็นว่าสนใจที่จะอ่านหนังสือ แต่เมื่อสมภารไปถาม ก็กลับท่องให้ฟังได้หมด แม้กระทั่งบทสวดปาฏิโมกข์
จนมาวันหนึ่ง พ่อท่านนาโหล่ง อาจารย์ใหญ่ วัดตรงกันข้าม เกิดล้มป่วย ได้สั่งเสียลูกศิษย์ว่า อย่าให้ใครมาแตะต้องศพ ไม่ต้องล้างหน้าศพ พอเรื่องนี้รู้ถึงเณรลุน
ก็เดินทางไปของกราบศพอาจารย์ใหญ่นาโหล่ง เมื่อไปถึงกราบศพเสร็จ ก็แจ้งกับลูกศิษย์อาจารย์ใหญ่ว่า อยากเห็นหน้าอาจารย์ใหญ่นาโหล่ง เพื่อเป็นบุญตา ก็ได้รับอนุญาต แต่เมื่อเปิดดูร่างอาจารย์นาโหล่ง เณรลุน ก็เห็นหนังสือก้อม (คนโบราณจะจารอักขระลงบนใบลานขนาดเล็ก) เณรลุน ก็ได้หยิบหนังสือก้อมออกมา
จากนั้นสามเณรลุน ก็หายตัวไปโดยไม่มีใครพบเห็น จนผ่านไป 2 ปี เณรลุน ก็ถ่อแพกลับมา ว่ากันว่า ช่วงที่หายไปนั้น เณรลุน ไปเรียนวิชาจากฤาษีพระยาจักรสรวง
เมื่อแพมาถึงบ้านเนินไซ ก็บอกกับชาวบ้านว่า จะมาออกพรรษาที่วัดเวินไซ ชาวบ้านก็รับจะสร้างกุฏิให้พักอาศัย จนกระทั่ง ได้บวชเป็นพระ ชาวบ้านเล่าตรงกันว่า พระลุนนั้น เคร่งธรรมวินัยมาก แล้วก็ชอบที่จะไปศึกษาคัมภีร์ต่างๆ ที่หอไตร ทั้งที่วัดเวินไซ และวัดอื่น ทำให้มีความรู้มากมายหลายแขนง เขียนตำรายาสมุนไพรไว้ก็มี
ส่วนเรื่องอิทธิปฏิหาริย์นั้น เล่าสืบต่อกันมาว่า สำเร็จลุน เคยบอกกับสามเณรที่วัดว่า อยากฉันตำบักหุ่ง ก็สั่งให้เณรไปเอามะละกอมาสับรอไว้
ส่วนสำเร็จลุนนั้นจะไปกรุงเทพฯ เอากะปิ กับมะนาวมาใส่ ว่ากันว่า ยังไม่ทันที่เณรจะสับบักหุ่งเสร็จ สำเร็จลุน ก็เอากะปิ มะนาวมาให้แล้ว
อภินิหาร ของสำเร็จลุน ที่มีการเล่าขานมานาน
ยังมีเรื่องเล่ากันอีกว่า ครั้งหนึ่งสำเร็จลุน ได้รับกิจนิมนต์งานบุญบั้งไฟที่บ้านด่าน ปากมูล ระยะทางกว่า 30 กม. สำเร็จลุน พร้อมคณะผู้ติดตาม
ออกจากวัดเวินไซ ราว บ่ายสองโมงเศษ พากันเดินไป เมื่อไปถึงที่หมาย เวลาก็ยังคงเป็นบ่ายสองโมงเศษ
อีกครั้งเมื่อสำเร็จลุน ไปเมืองปากเซกับสามเณร สำเร็จลุน น่าจะหิวน้ำก็เลยเข้าไปที่ร้านขายเหล้า สั่งเหล้ามากินแทนน้ำ เมื่อตำรวจเห็นก็นิมนต์สำเร็จลุน ไปพบกับนายฝรั่ง (ฝรั่งเศสบังคับไทยให้ยกลาวเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส
ก็ส่งฝรั่งมาคุมหน่วยงานของลาว) ตำรวจก็แจ้งว่า ครูบาองค์นี้กินเหล้า ฝรั่งก็ถามสำเร็จลุนว่า ไม่รู้หรือว่าเขาห้าม สำเร็จลุน ก็ตอบว่า รู้ว่าห้าม แต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงห้าม อันเหล้านั้นมาหากิน แต่ยังไม่ได้กิน
ฝรั่งก็ว่า ก็มีแก้วเหล้ายืนยันอยู่ แต่สำเร็จลุน ก็แย้งว่า แก้วเหล้านั่นใช่ แต่ในนั้นไม่ใช่เหล้า ฝรั่งก็เลยสั่งให้เอาเหล้ามาตั้งตรงหน้า แล้วบอกว่า ครูบา จะกินก็กินโลด สำเร็จลุน ก็ยกแก้วเหล้าขึ้นดื่ม ตำรวจก็ย้ำว่า ที่กินไปนั่นคือเหล้า
สำเร็จลุน กลับย้อนมาอีกว่า ไม่ใช่เหล้า ฝรั่งเห็นท่าทางสำเร็จลุน ไม่มีทีท่าว่าจะเมา ก็เลยยกแก้วเหล้าที่ยังมีเหล้าค้างอยู่มาดม ก็ไม่พบกลิ่นเหล้า เลยยกขึ้นดื่ม ก็ปรากฏว่า รสชาติเหมือนน้ำทั่วไป จึงหันไปบอกกับตำรวจว่า ต่อไปนี้ใครมาว่ายาคูผู้นี้กินเหล้า จะมีโทษ
เรื่องปาฏิหาริย์ของสำเร็จลุน ยังมีอีกมากมาย มีเล่ากันทั้งจากฝั่งไทยและฝั่งลาว บ้างก็ว่า ท่านเหยียบใบไม้มานมัสการพระธาตุพนม บางทีก็ยืนบนเรือที่ไม่มีคนพายข้ามแม่น้ำโขงมา สำเร็จลุน มรณภาพรวมอายุได้ 108 ปี
เจดีย์บรรจุอัฐิของท่านอยู่ที่วัดเวินไซ ปัจจุบัน ชื่อว่าวัดโพธิ์เวินไซ เพราะมีต้นโพธิ์ใหญ่ขึ้นมา 5 ต้นหลังจากที่มีการสร้างเจดีย์บรรจุอัฐิของท่าน
บทความที่เกี่ยวข้อง พระแก้วมรกต กับมิตรภาพไทย-ลาว
ตำรายาที่สำเร็จลุน ทิ้งไว้ให้คนรุ่นหลัง
สำเร็จลุน ยังได้ทิ้งมรดกด้านตำรายาอันวิเศษ เป็นตำรายาพิสดารไว้ให้ผู้มีบุญได้นำไปใช้ดังนี้ “ให้เอาไฟเดือนห้า 1 ตำลึง สลัดไดทั้งห้า 1 ตำลึง ขิงแห้ง 1 ตำลึง ผักหนอก(ใบบัวบก) 1 ตำลึง ใบเขือบ้า (ใบต้นลำโพง) 1 ตำลึง กาสลัก 1 ตำลึง มาตำเป็นผงผสมกัน เอาน้ำอ้อยแดงมาละลาย ปั้นเป็นลูกกลอนเท่าเมล็ดฝ้าย ไว้กินวันละ 3 หน คือ เช้าก่อนอาหาร 1 เที่ยง 1 บ่ายเย็น 1 โรคในกายทุกจำพวกหายสิ้นไปหมด”
ถ้ากินถึง 3 เดือน คงกระพันชาตรี ถึง 7 เดือน มีผิวพรรณผุดผ่อง ถึง 8 เดือน เดินน้ำได้ ถึง 11 เดือน ปัญญามโหสถ ถ้าถึง 1 ปี เดินไปถึงเขาพระสุเมรุ
ตำรายานี้ หลวงปู่ลี กุสลธโร วัดป่าภูผาแดง จ.อุดรธานี เป็นผู้คัดลอกไว้