ฟีฟ่าระส่ำ ก่อนทีมชาติเยอรมันลงดวลกับญี่ปุ่นไม่กี่นาที มีพิธีการถ่ายรูปหมู่ตามธรรมเนียม
ปรากฏว่าแข้งอินทรีเหล็กแสดงออกทำเอาหลายคนแปลกใจมาก ผู้เล่นทั้ง 11 คนที่เป็นตัวจริง ต่างเอามือปิดปากตัวเอง เป็นการประท้วงเชิงสัญลักษณ์บางอย่าง ซึ่งมีการนัดหมายกันไว้แล้ว
หลายคนคงพอจะคาดเดาได้ว่า เยอรมันต้องการสื่ออะไร ก่อนทางสหพันธ์ฟุตบอลหรือเดเอฟเบ จะออกมาโพสต์ผ่านโซเชี่ยลในทำนองว่า การห้ามกัปตันทีมสวมปลอกแขน One Love เหมือนเป็นการห้ามพูด เป็นความพยายามจะปิดปากอย่างแท้จริง
ไอเดียนี้ไม่ใช่มาจากนักเตะอย่างเดียวเท่านั้น แต่หมายถึงทางสหพันธ์ฯก็ยินดีให้การสนับสนุน เพราะไม่เห็นด้วยกับการกระทำของฟีฟ่า ซึ่งเอาใจเจ้าภาพกาตาร์มากเกินความเป็นจริง
จุดเริ่มต้นมาจากการตกลงของ 8 ชาติยุโรป ที่ได้ผ่านเข้ามาเล่นฟุตบอลโลกครั้งนี้ นอกจากเยอรมันยังมีอังกฤษ , เวลส์ , เบลเยียม , เดนมาร์ก , ฝรั่งเศส , สวิตเซอร์แลนด์ และเนเธอร์แลนด์
ทั้งหมดจะให้กัปตันทีมสวมปลอกแขน One Love ลงเล่น โดยปลอกแขนดังกล่าวเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่ม LGBTQ อันหมายถึงเพศทางเลือก ที่พร้อมเกาะเกี่ยวรวมตัวกันอย่างแน่นเหนียว
อย่างไรก็ตามฟีฟ่าไม่เห็นด้วยและขู่เลยว่า หากใครทำอย่างนั้นจะโดนใบเหลืองหรืออาจถูกปรับด้วยเป็นการลงโทษ
เนื่องจากการรักในเพศเดียวกัน ถือว่าเป็นสิ่งผิกกฎหมายของกาตาร์ เป็นเรื่องที่เคร่งครัดตามหลักศาสนา หากถูกจับได้จะมีบทลงโทษหนักถึงขั้นประหารชีวิตเลย แม้จะยังไม่มีการยืนยันเกี่ยวกับเคสนี้ก็ตาม
หลายประเทศโดยเฉพาะในยุโรป ถือว่านี่เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยนชน ซึ่งทุกคนมีความคิดหรือแสดงออกตามกรอบของตัวเอง
เหตุการณ์นี้ อาจทำให้อนาคต ฟีฟ่าระส่ำ ระส่าย
กลุ่ม Human Rights Watch ยังอ้างว่าเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของกาตาร์ ได้มีการจับกุมกลุ่มเพศทางเลือกเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา นำตัวไปกักขังหน่วงเหนี่ยวอย่างไม่เป็นธรรม ไร้ความเป็นมนุษย์
นั่นทำให้เกิดความไม่พอใจมากมายและมันแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว กระทั่งนำไปสู่ในสนามด้วย ต้องยอมรับว่าฟุตบอลมักเป็นตัวแทนหรือเราจะบอกว่าเครื่องมือสำหรับการแสดงออกบางอย่างแทบทุกยุคสมัย
เมื่อทางฟีฟ่ายืนกรานว่า การสวมปลอกแขน One Love ไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปราะบางเช่นนี้ ก็เลยขอร้องทั้ง 8 ชาติ พร้อมทั้งออกกฎเฉพาะไปในตัว เป็นการป้องกันไม่ให้บานปลาย
ฟีฟ่าอ้างว่าสิ่งที่ทำลงไป เพื่อความเป็นกลางตามนโยบายที่ยึดมายาวนาน อยากให้ทุกคนโฟกัสแค่เรื่องของเกมในสนามมากกว่า อย่าดึงฟุตบอลไปเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมือง ศาสนา เพศหรือความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเลย
อย่างไรก็ดี แนนซี เฟรเซอร์ รัฐมนตรีมหาดไทยของเยอรมัน ซึ่งเดินทางมาชมเกมนี้ด้วย ตัดสินใจอย่างคาดไม่ถึง เมื่อเธอสวมปลอกแขน One Love ระหว่างนั่งดูบนอัฒจันทร์
แล้วคนที่นั่งข้างๆคือ จานนี่ อินฟานติโน่ ประธานฟีฟ่า ซึ่งต่อต้านเรื่องนี้อย่างชัดเจน ยืนเคียงข้างกาตาร์ ด้วยเหตุผลขอให้ทุกฝ่ายร่วมมือกันเพื่อ ฟุตบอลโลก 2022 จะได้ผ่านไปตามเป้าหมาย
หากยังจำกันได้ อินฟานติโน่ เพิ่งตอบโต้การกระทำของชาติต่างๆที่เรียกร้องสิทธิมนุษยชนของกาตาร์ ยืนยันว่าควรหยุดได้แล้ว พร้อมกับใช้ถ้อยคำดูรุนแรง นั่นอาจทำให้สถานการณ์ตึงเครียดหนักอีก
น่าติดตามก็คือความเคลื่อนไหวของประเทศทั้ง 8 เชื่อว่าคงไม่หยุดเท่านี้แน่ พวกเขาต่างรณรงค์เรื่องสิทธิมนุษยชน ชัดเจนในจุดยืน ไม่ได้ทำเพื่อภาพลักษณ์ แต่เพราะความเป็นคนเหมือนกันต่างหาก
บทความที่เกี่ยวข้อง ชะตากรรมของ เมสซี่และพี่โด้
ฟีฟ่า ต้องเจอปัญหาครั้งยิ่งใหญ่
มีข่าวลือว่าเดนมาร์กกำลังพิจารณาถอนตัวจากการเป็นสมาชิกฟีฟ่า หมายถึงไม่สนใจเข้าร่วมอีกต่อไป โดยไม่แคร์ด้วยซ้ำว่าจะได้เล่นฟุตบอลโลกหรือเปล่า
หากเป็นอย่างนั้นจริงนี่คือเรื่องใหญ่มากๆ มีความเป็นไปได้สูงเลย จะมีประเทศอื่นเดินตามรอยเดนมาร์ก พร้อมกอดคอร่วมฝ่าฟันด้วยกัน
ประเด็นก็คือ อินฟานติโน่ ต้องรีบหาทางแก้ไข ไม่ใช้เพิกเฉยปล่อยไปเลยตามเลยหรือยังคงพูดจาแบบเดิมอีก ไม่อย่างนั้นฟุตบอลโลก ซึ่งเป็นหน้าเป็นตาของฟีฟ่าจะถูกลดความสำคัญลงเลย
น่าติดตามอีกเคสก็คือ ความพ่ายแพ้ของเยอรมันที่มีต่อญี่ปุ่นอย่างเหนือความคาดหมาย ถูกวิเคราะห์ว่าห่วงแต่เรื่องนอกสนาม นั่นก็คือการประท้วงฟีฟ่ามากเกินไป จนทำให้ไม่มีสมาธิมากพอ
แม้จะมีหลายคนไม่เห็นด้วยกับการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ จากรูปหมู่ก่อนเกมเริ่ม แต่เชื่อว่านัดหน้าเจอสเปน แข้งเหล่านี้ก็ยังน่าจะปิดปากกันเหมือนเดิม กระตุ้นให้เขม็งเกลียวหนักขึ้น
ยังตอบไม่ได้ว่าตลอดทัวร์นาเม้นต์นี้ สถานการณ์เรื่องประท้วงจะเป็นอย่างไร มันยากมากสำหรับการคาดเดา
แต่ที่แน่ๆฟีฟ่าต้องกุมขมับกับเหตุการณ์มากมาย เพราะก่อนหน้านั้นก็ดราม่า ผู้เล่นอิหร่านไม่ร้องเพลงชาติของตัวเองในเกมเจอกับอังกฤษ ในขณะที่กองเชียร์ก็ไม่ยอมเชียร์ทีมชาติตัวเองเช่นกัน
เหตุผลมาจาก อัลยาตอเลาะห์ คาเมนี ผู้นำอิหร่านใช้ความรุนแรงปราบผู้ประท้วง เรียกร้องสิทธิมนุษยชน ไม่เห้นด้วยกับกฎข้อบังคับต่างๆที่มีต่อผู้หญิง จนเกิดความโกลาหล มีผู้เสียชีวิตใกล้เคียง 500 คนเข้าไปแล้ว
ต้องยอมรับเลยว่าการเมืองในฟุตบอลโลกหนนี้รุนแรงมากๆในรอบหลายครั้งที่ผ่านมา โลกของเรากลับมาขัดแย้งวุ่นวาย จากความแตกต่างสารพัดที่ไม่อาจยอมรับกันได้
เป็นทัวร์นาเม้นต์ที่เน้นไปเรื่องการเมืองจริงๆ ทั้งที่เพิ่งเปิดฉากได้ไม่กี่วัน