อนุชนคนรุ่นหลังได้รับรู้รับฟังว่า พระแก้วมรกต ที่ประดิษฐานในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ( วัด พระ แก้ว ) เป็นพระคู่บ้านคู่เมืองของไทยมาช้านาน มีพระพิธีต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับพระแก้วมรกตตลอดทั้งปี
แต่ที่มาของพระแก้วมรกตนั้นเต็มไปด้วยความสับสนและกล่าวหาว่า เป็นพระประจำชาติ หรือการเป็นเจ้าของพระแก้วมรกตระหว่างไทยกับลาวมาโดยตลอด
เพราะในยุคสมัยที่อาณาจักรล้านช้างรุ่งเรืองนั้น พระแก้วมรกตอยู่กับล้านช้าง ไม่ว่าจะอยู่ที่ หลวงพระบาง หรือนครเวียงจันทน์นั้น ก็ยาวนาน 226 ปี พระแก้วมรกตจึงเป็นศูนย์รวมจิตใจของชนชาวลาวมาเนิ่นนาน
คงไม่ต้องไปไล่ถึงที่มาว่า ใครสร้างองค์พระแก้วมรกต แต่เอาระยะเวลาใกล้ๆ ก็คือ เมื่อพระแก้วมรกตอยู่ในอาณาจักรขอม ก็ถูกอโยธยา ไปรบแล้วก็ได้พระแก้วมรกตมา
แต่เมื่ออาณาจักรอ่อนแอ ก็ไปอยู่ที่เมืองกำแพงเพชร ทางเมืองเชียงรายรู้เข้า ก็เลยยกทัพใหญ่เข้าไปตีแล้วก็ชิงเอาพระแก้วมรกตกลับเมือง แต่เจ้าเมืองเชียงรายเห็นว่า พระแก้วมรกต เป็นพระพุทธรูปล้ำค่า ไม่นาน ก็คงจะมีการยกทัพมาแย่งชิงกันอีก เพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า
จึงได้เอาปูนมาฉาบอำพรางองค์พระแก้วมรกต เอาไว้ ณ วัดพระแก้วเชียงราย แถมยังสร้างเจดีย์ครอบทับไว้อีก เรื่องราวของพระแก้วมรกตก็เลยหายไปพักใหญ่
ความบังเอิญหรือความศักสิทธิ์ของ พระแก้วมรกต
แต่ไม่รู้ว่า เป็นเพราะอะไร เกิดฝนฟ้าตก แล้วฟ้าก็ผ่าลงมายังเจดีย์ที่สร้างครอบองค์พระแก้วมรกตเอาไว้แตกเสียหาย เผยให้เห็นภายในเจดีย์ว่ามีพระพุทธรูปปูนปั้น (ตอนนั้นน่าจะยังไม่รู้ว่าฉาบหรือพอกปูนเอาไว้)
แต่เมื่ออัญเชิญขึ้นประดิษฐานไว้ในที่ที่เหมาะสมไม่นาน แผ่นปูก็กระเทาะออกเผยให้เห็นเนื้อองค์พระพุทธรูปสีเขียวราวมรกต แค่นั้นก็มากพอที่จะดึงดูดให้เมืองที่เข้มแข็งยกทัพมาชิงพระแก้วมรกตขึ้นอีกครั้ง
แต่ครั้งนี้ตำนานไม่ได้บอกว่า มีการยกทัพไปตีเอามา แต่เป็นการไปขอกันดีๆ ก็คือ อาณาจักรล้านช้างไปขอจากเมืองเชียงรายอัญเชิญพระแก้มรกตมาไว้ที่เมืองเชียงใหม่
ยุคสมัยนั้น เป็นยุคที่สงครามและการแย่งชิงเกิดขึ้นง่าย แม้แต่ภายในอาณาจักรล้านนาเอง ก็เกิดเรื่องราว จนไม่มีกษัตริย์ปกครองเมือง จนต้องให้พระมเหสีแห่งกษัตริย์เมืองเชียงใหม่ปกครองไปพลางก่อน
แต่ก็ไม่นานนัก พม่ารามัญก็เข้มแข็งทำท่าว่าจะขยายอาณาเขตจะเข้าตีเอาล้านนา กษัตริย์หญิงแห่งล้านนา ก็เลยต้องหันหน้าไปพึ่งพากษัตริย์ล้านช้าง ที่เป็นผู้ชายและเข้มแข็งกว่า ล้านช้างก็ไม่ปฏิเสธ ส่งกองทัพมาช่วยเหลือจนพม่ารามือกลับไป กษัตริย์หญิงแห่งล้านนา
จึงได้ยกพระราชธิดาให้แก่กษัตริย์ล้านช้างไปเป็นพระมเหสี ตรงนี้น่าจะเห็นชัดถึงความเกี่ยวดองกันระหว่างล้านนากับล้านช้างที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น เมื่อเทียบกับ ล้านนากับสยาม
ต่อมา กษัตริย์หญิงแห่งล้านนา ก็เริ่มรู้สึกว่า ไม่ไหวแล้ว จึงได้ร้องของกษัตริย์ล้านช้างผู้เป็นบุตรเขย ให้ส่งหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์มาช่วยดูแลเมืองเชียงใหม่ เพราะพม่าทำท่าว่าจะมาอีกรอบ ทางล้านช้างจึงส่งพระโอรสไชยเชษฐา ที่อายุเพียง สิบต้นๆ มาช่วย กษัตริย์หญิงแห่งล้านนา
ซึ่งมีศักดิ์เป็นยาย แต่ก็มาอยู่ได้เพียงปีเดียว พระบิดา ซึ่งครองอาณาจักรล้านช้างก็สวรรนคต เจ้าไชยเชษฐา จึงต้องกลับไปล้านช้าง และได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ชื่อ พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช
ก่อนกลับไปก็ทูลขอกษัตริย์ยาย ว่า ขอเอาพระแก้วมรกตไปด้วย พระแก้วมรกตก็เลยอยู่ที่อาณาจักรล้านช้างนับแต่นั้น
ความแน่นอนอย่างเดียว คือความไม่แน่นอน
แต่ทุกสรรพสิ่งไม่มีความแน่นอน เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป เมื่อกาลเวลาเปลี่ยน อาณาจักรที่เคยเป็นปึกแผ่น ก็เริ่มแตกแยก ล้านช้างก็ถูกแบ่งออกเป็นสามก๊ก หลวงพระบาง เวียงจันทน์ และจำปาศักดิ์ แล้วก็จ้องจะลุยกัน ถ้าเมื่อใด เมืองใดอ่อนแอ
ก็เป็นช่วงที่อาณาจักรสยามกำลังเข้มแข็งในช่วงที่พระเจ้ากรุงธนบุรี รวบรวมบ้านเมืองจนเป็นปึกแผ่น ทางลาวจึงได้ส่งคนมาขอให้สยามส่งกำลังไปปราบ (ไกล่เกลี่ย) ให้สามก๊กของลาวได้รวมกันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกของไทย คือผู้ที่ถูกส่งไปไกล่เกลี่ย ซึ่งแน่นอนว่า ณ เวลานั้น ชื่อเสียงของพระแก้วมรกตนั้นต้องตาต้องใจเมือง หรืออาณาจักรต่างๆ อยู่แล้ว เมื่อไกล่เกลี่ยเรียบร้อยแล้ว ตามบันทึกของทางกรุงเทพฯ ก็บอกว่า
ฝ่ายไทยได้อัญเชิญพระแก้วมรกต กับพระบางกลับกรุงธนบุรี แต่บันทึกของลาวบอกว่า ศักดินาสยามได้อ้างว่า บ้านเมืองลาวมีความไม่สงบ จึงจะขออัญเชิญพระแก้วมรกตไปไว้ที่สยามก่อน เมื่อลาวเกิดความสงบและ ก็จะอัญเชิญกลับมาประดิษฐานไว้ที่ลาวเช่นเดิม
เรื่องเล่าตามบันทึก
บันทึกของลาวอ้างว่า ศักดานาสยาม ได้ให้คำสาบาน แต่เมื่อได้อ่านข้อความตามบันทึกของลาว หรือเรื่องเล่าจากลาว แล้ว ดูน่าจะเป็นคำสาปแช่งเสียมากกว่า
เพราะทางลาวอ้างว่า เมื่อจะอัญเชิญพระแก้วมรกตมายังสยามนั้น ก็ไม่สามารถยกพระแก้วมรกตขึ้นได้ จึงต้องไปขอให้หมอโหรชาวลาว 5 คนมาช่วยทำพิธี และอ้างว่า
ศักดินาสยามให้คำสาบานไว้ว่า ถ้าช่วยให้อัญเชิญพระแก้วมรกตไปยังสยามแล้วถ้าสยามผิดคำสาบานไม่ส่งพระแก้วมรกตคืนเวียงจันทน์ ขอให้เกิดมหันตภัย 5 อย่าง คือ ขอให้เกิดน้ำท่วมใหญ่ สยามไม่มีความสงบสุข ไม่มีความเจริญ การเมืองสับสนวุ่นวาย อาณาจักรเดียวขอให้แตกเป็นหลายชาติ ราชบัลลังก์ถูกโค่นล้ม และแผ่นดินจมลงทะเล
คำสาบานหนักขนาดนี้ ดูแล้วน่าจะเป็นคำสาปแช่งเสียมากกว่า เมื่อไม่นานมานี้ ก็มีใบปลิวแถวชายแดนไทย-ลาว อ้างถึงเหตุน้ำท่วมกรุงเทพฯ ว่าเป็นเพราะสยามผิดคำสาบาน
บทความที่เกี่ยวข้อง พระเจ้าองค์ตื้อ ปาฏิหาริย์ของชาวลาว
และมีกระแสข่าวว่า ทางลาวยังคงไม่พอใจในเรื่องพระแก้วมรกตที่ลาวมั่นใจว่า อยู่กับชนชาวลาวมานานกว่า 200 ปี พระแก้วมรกตเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวลาว และอ้างว่า ฝ่ายไทยให้เหตุผลว่า ให้นับเอาเหตุการณ์หลังสงครามของอยู่ที่ใคร ก็เป็นของผู้นั้น
อย่างไรก็ตาม ในยุคหนึ่งที่สะพานมิตรภาพไทย-ลาวเสร็จสิ้น ทางการไทยก็ให้ช่างแกะสลักพระพุทธรูปจากหยก ที่มีพุทธศิลป์คล้ายกับองค์พระแก้วมรกต ประมาณว่าเป็นพระแก้วมรกตจำลอง ส่งไปให้ประเทศลาว แต่ประธานสงฆ์ของลาว
ก็ได้สั่งให้เอาพระแก้วมรกตจำลองนั้นไปเก็บไว้ในห้อง ไม่ได้ประดิษฐานไว้ในโบสถ์เพื่อให้ผู้คนได้กราบไหว้ เฉกเช่นพระพุทธรูปที่ชาวลาวให้ความเคารพนับถือ
แต่จะว่าไปแล้ว พระแก้วมรกตก็ประดิษฐานที่วัดพระศรีรัตนศาสดารามมานานเกือบ 250 ปีแล้วเช่นกัน