ทันทีที่ ทีมชาติกระทิง “สเปน”ลงเล่นนัดแรกในเวิลด์ คัพเที่ยวนี้เรียบร้อย พวกเขาถูกจับตามองอย่างมาก จะต้องท้าทายเต็งแชมป์อย่างบราซิลและอาร์เจนตินาแน่นอน
ยุทธการเปิดฉากไล่บอมบ์คอสตาริก้า 7-0 ถือเป็นชัยชนะอันมโหฬารบานตะเกียงมากๆ เยอะสุดในรอบแรกอย่างไม่ต้องสงสัย
ทัพกระทิงดุยังเรียกเสียงฮือฮาอีก จากการเป็นทีมพลังหนุ่ม อัดแน่นไปด้วยดาวรุ่งมากมาย ตามสไตล์ หลุยส์ เอ็นรีเก้ กุนซือ ซึ่งชอบจะใช้งานผู้เล่นหน้าใหม่เสมอ
เด็กหนุ่มอย่าง กาบี เพิ่งอายุ 18 ปีเท่านั้นเอง จ้ำพรวดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ด้วยผลงานโตเกินวัย รวมทั้งการสนับสนุนจากบาร์เซโลน่าต้นสังกัดและ เอ็นรีเก้ เองก็ดูชื่นชอบเป็นการส่วนตัว
ในขณะคู่หูแดนกลางอย่าง เปดรี ก็เพิ่งจะวัยเพียงแค่ 20 ปีเท่านั้นเอง แต่ขึ้นลิฟท์สู่ชุดใหญ่บาร์ซ่าอย่างรวดเร็ว เป็นประเภทผึ้งงานบากบั่นไม่ย่อท้อ ทัศนคติดีเยี่ยม
นอกจากนี้ยังเรียก อเลฮานโดร บัลเด้ แบ็กซ้ายอายุ 20 ปี มาเสริมภายหลังอีกด้วย หลังผู้เล่นบางคนประสบปัญหาอาการบาดเจ็บ
นั่นยังไม่นับ เอริก การ์เซีย , อูโก้ กิลยามอน , เฟร์ราร ตอร์เรส , นิโก วิลเลี่ยมส์ , อันซู ฟาติ และ เยริมี่ ปิโน่ ซึ่งอายุอยู่ในระหว่าง 20-22 ปีทั้งสิ้น
เอ็นรีเก้ ไม่สนใจเสียงทักท้วงหรือความเห็นที่แตกต่าง เนื่องจากในทัวร์นาเม้นต์สำคัญสุดเช่นนี้ ควรดึงแข้งประสบการณ์ พวกตัวเก๋ามาผสมผสานให้เยอะสักหน่อย
อย่างน้อยมีประโยชน์ในเรื่องนอกสนาม อิทธิพลในทีมหรือการแนะนำพวกเด็กรุ่นหลัง
แต่เขากลับเลือกหั่นชื่อ เซร์คิโอ รามอส , ติอาโก้ อัลกันตาร่า , ดาบิด เด เคอา และ ราอูล อัลบิโอน ออกจากสารบบ จนอดที่จะแปลกใจกันไม่ได้
หลุยส์ เอ็นรีเก้ กุนซือ ทีมชาติกระทิง
มีการตั้งข้อสังเกตว่า เอ็นรีเก้ อคติกับผู้เล่นบางราย โดยเฉพาะกลุ่มที่เล่นในต่างแดน รวมทั้งพรีเมียร์ลีก
ในขณะเดียวกันก็อุ้มชูผู้เล่นจากค่ายบาร์เซโลน่ามากเกินไป ชนิดที่ว่าออกนอกหน้าเลยทีเดียว
การให้โอกาส บัลเด้ แข้งละอ่อน ที่เพิ่งผ่านสังเวียนชุดใหญ่บาร์ซ่าไม่เท่าไร มาสมทบคือสิ่งที่ถูกจับตามองมาก
นอกจากนี้เซ็นเตอร์แบ็กอย่าง เอริก การ์เซีย ก็เจอตั้งคำถามเช่นเดียวกันว่า มีคุณสมบัติดีพอสำหรับติดทีมชุดใหญ่มาลุยฟุตบอลโลกเลยหรือ
ว่ากันตามตรง ปราการหลังรายนี้แทบไม่มีจุดเด่นเลยด้วยซ้ำ แต่ดูเหมือนได้รับการสนับสนุนเรื่อยมา ทั้งที่ตอนอยู่แมนฯซิตี้ ก็เป็นเพียงแค่ตัวสำรองดาดๆ ส่วนใหญ่นั่งรอโอกาสข้างสนาม
อย่างไรก็ตามพอนัดแรกผ่านไป คำถามหรือข้อกังขาน่าสงสัยเริ่มคลายลง แต่อย่าลืมว่า เพิ่งนัดเดียวเอง ยังไม่น่าจะตัดสินอะไรได้หรอก
แล้วก็เป็นจริง เกมสองเจอเยอรมันเล่นกันอย่างสูสี ก่อนจะจบลงด้วยเผลเสมอแบ่งกันไปทีมละแต้ม แต่นั่นไม่ใช่เรื่องหนักอกต้องวิตกกังวลกันเท่าไรนัก
เพราะนัดสามได้รับศึกญี่ปุ่น ซึ่งมองเหลี่ยมมุมไหน กระทิงดุก็ยังข่มกว่า ไม่น่าพลาดชัยชนะ แม้แข้งซามูไรจะอหังการกำราบเยอรมันมาแล้วก็ตาม
สถานการณ์ส่อเค้าเป็นไปอย่างที่คาดกันไว้เลย ครึ่งแรกสเปนครองบอลแทบจะบุกพับสนามฝ่ายเดียว ก่อนจะได้ประตูนำ 1-0 จากจังหวะโขกของ อัลบาโร่ โมราต้า
45 นาทีจบลงขึ้นนำแบบไม่ยากเย็น พร้อมทั้งกุมความได้เปรียบเอาไว้หมด ไม่น่าจะระคายเคืองอะไร
แต่หากสเปนศึกษาสาเหตุที่เยอรมันต้องโดนซามูไรเช็กบิลสิ้นสภาพ อาจจะออกมาสู้ในครึ่งหลังด้วยการเล่นแบบเน้นความรัดกุม ไม่ติดประมาทอย่างที่เห็นหรือโชว์กันเกินไป
บทความที่เกี่ยวข้อง สิ้นสุด 20 ปีที่รอคอยของ ทีมชาติบราซิล?
ทีมชาติกระทิง เพรี่ยงพร้ำ พ่ายทีมชาติญี่ปุ่น
แข้งสเปนยังเล่นตามนิสัยเคยตัว นั่นคือต่อบอลกันไปมาแบบเท้าต่อเท้า อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ
แต่ญี่ปุ่นเองก็มีการปรับหมากเช่นเดียวกัน นอกจากเปลี่ยนตัวผู้เล่นแล้ว ยังใช้การเพรสซิ่งวิ่งไล่อย่างหนักหน่วง แบบเทหมดหน้าตักกันเลย
เมื่อบวกกับความชะล่าใจของกระทิงดุ ที่ไม่คิดว่าจะพลาดจนโดนกะซวก นั่นจึงถูกลงโทษตามระเยียบ
แนวรับประมาทเกินไป จนปล่อยให้ ริทสึ โดอัน กดเปรี้ยงด้วย้ายเต็มเหนี่ยว ทวงคืนได้อย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งโยนความกดดันไปให้สเปนแทน
แข้งกระทิงคล้ายเมาหมัด ยังตั้งตัวกันไม่ติด ส่วนหนึ่งมาจากประสบการณ์ของผู้เล่นอย่างที่บอก หลายคนอายุน้อย ผ่านชั่วโมงบินไม่เท่าไร สะสมไมล์แค่นิดเดียว
เรื่องฝีเท้าอาจจะพาสชั้นขึ้นมาได้ แต่การรับมือกับความกดดันในสถานการณ์ตึงเครียด นั่นแหล่ะคือปัญหาเลย
เปดรี , กาบี , บัลเด้ , นิโก้ วิลเลี่ยมส์ หรือ ดาเนี่ยล โอลโม่ ยังไงก็ต้องมีสั่นบ้างแหล่ะ ต่อให้มีรุ่นพี่เก๋าๆคอยประคับประคองบ้าง แต่ก็ไม่เพียงพอหรอก
แล้วญี่ปุ่นเป็นทีมที่ขยันมากๆ กระทั่งบอลจะข้ามเส้นยังไปงัดกลับมาได้ ต้องชมหัวใจที่ไม่ยอมแพ้ของ คาโอรุ มิโตมะ จนทำให้ ทานากะ ชาร์จเผาขนเข้าไป
ทีนี้สเปนเริ่มร้อนรน บีบคั้นให้ เอ็นรีเก้ ต้องปรับผู้เล่นกันใหม่ แต่ก็ดูเหมือนไร้ไอเดียเจาะเข้าไป ได้แต่ถ่ายบอลป้อไปมา มีโอกาสใกล้เคียงแค่สองครั้งจากยิงไกลของ มาร์โก อเซนซิโอ และ โอลโม่ แต่ก็ไม่ดีพอ
ยังโชคดีที่พวกเขายิงคอสตาริก้าตุนไว้เยอะ เลยอาศัยประตูได้เสียที่บวกมากกว่า ผ่านเข้ารอบเป็นอันดับ 2 ของกลุ่ม แถมยังได้ไปชนโมร็อกโก ยังไงก็ดีกว่าดวลโครเอเชียจอมเขี้ยว
แต่หากเล่นได้อย่างที่เห็น อย่าเพิ่งย่ามใจคิดว่ารอบ 16 ทีมสุดท้ายจะงานเบาเด็ดขาด
เพราะหากเลินเล่อและคิดว่าการครองบอลจ่ายไปมาคือสิ่งสำคัญสุด อาจได้บทเรียนอย่างที่คาดไม่ถึง